เกิดเหตุการณ์ประหลาด คนเอาสัตว์ร้ายมาสู้กันให้คนดู เหมือนยุคโรมัน
17 ก.พ. 54)--นายวิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย พร้อมคณะ เดินทางเข้าพบและยื่นหนังสือถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน โดยมีนายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน เป็นตัวแทนรับหนังสือ และร่วมหารือถึงแนวทางที่สมาคมนักข่าวฯเสนอตัวขอเป็นผู้จัดเวทีกลางเพื่อหาทางออกปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา โดยเปิดโอกาสให้รัฐบาลและภาคประชาชนนำเสนอข้อมูลต่อประชาชนภายหลังการหารือประมาณ 30 นาที
"ทางสมาคมนักข่าวฯเข้าใจดีว่าเคยผ่านการดีเบตระหว่างรัฐบาลกับภาคประชาชนมาแล้ว แต่เมื่อสถานการณ์ถึงตอนนี้ที่ได้ฟังเสียงจากประชาชนว่ามีการให้ข้อมูลตอบโต้กัน โดยพูดคนละเวที ทำให้ประเด็นเนื้อหาไม่ตรงกัน ทั้งเรื่อง MOU 2543 หรือพื้นที่พิพาท 4.6 ตร.กม. ดังนั้นจึงคิดทำอย่างไรจึงให้ทั้ง 2 ฝ่ายมาให้ข้อมูลกับประชาชนเพื่อรับรู้ตรงกันในเวทีเดียวกัน"
ส่วนรูปแบบที่ตั้งใจไว้คือเปิดเวทีให้มีตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและภาคประชาชน โดยมีสื่อมวลชนอาวุโสที่ติดตามประเด็นนี้มาเป็นผ็ดำเนินรายการและตั้งประเด็นคำถาม ในเบื้องต้นจะมีนายเทพชัย หย่อง ผู้อำนายการสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วยสื่อมวลชนอาวุโสที่รู้เรื่องไทย-กัมพูชาดี อาทิ นายวีระ ธีระภัทร และนายกวี จงประกิจถาวร เป็นต้น หวังว่าเป็นเวทีที่ทั้ง 2 ฝ่ายให้ข้อมูล โดยประชาชนคนดูจะเป็นผู้ตัดสินอีกครั้งหนึ่ง จึงเห็นว่าไม่ควรแยกเวทีกัน ทั้งนี้จะนำข้อเสนอของภาคประชาชนไปเสนอต่อรัฐบาลในช่วงบ่ายวันนี้ (17 ก.พ.) ก่อนแจ้งผลให้ทราบอีกครั้ง
ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า พันธมิตรฯได้เคยผ่านการพูดคุยกับรัฐบาลผ่านการถ่ายทอดสดเมื่อวันที่ 8 ส.ค.53 รวมทั้งการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยทางสาธารณะ ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล โดยเฉพาะในเวทีถ่ายทอดสดที่ภาคประชาชนมีโอกาสนำเสนอข้อมูลน้อยมาก จนเป็นเหตุให้มีการชุมนุมในขณะนี้ ทำให้ขั้นตอนการเจรจา ดีเบต หรือโต้วาทีระหว่างพันธมิตรฯกับรัฐบาลถือว่าจบแล้ว อีกทั้งคู่กรณีข้อพิพาทไม่ใช่ภาคประชาชนกับรัฐบาล แต่เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับทางกัมพูชา
"เราพร้อมที่จะให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างเต็มที่ผ่านเวทีของสมาคมนักข่าวฯ เนื่องจากที่ผ่านมานายกฯอภิสิทธิ์ใช้สื่อรัฐและสื่อกระแสหลักในการโต้แย้งข้อมูลภาคประชาชนเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งหากจะให้มีความเป็นธรรมต้องให้ภาคประชาชนมีพื้นที่สื่อบ้าง ซึ่งเราไม่ปฏิเสธที่จะมีคนกลางที่เป็นผู้รู้เชี่ยวชาญในวงการสื่อมาสอบถามระหว่างที่รัฐบาลและภาคประชาชนให้ข้อมูล"นายปานเทพ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบทั้ง 2 ฝ่ายต้องได้เวลาเท่ากันคือ 3 ชั่วโมง โดยที่มีเวลาให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องและเชื่อมโยงปัญหาทั้งหมด โดย 3 ชั่วโมงนั้นต้องเป็นช่วงไพร์มไทม์เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถเปิดเวทีในวันเดียวกันได้ โดยฝ่ายรัฐบาลควรเป็นผู้เริ่มก่อน เพราะไม่ว่าอย่างไรรัฐบาลก็ยังมีโอกาสใช้สื่อรัฐได้อีกยาวนาน
ขณะที่นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า ขอขอบคุณสมาคมนักข่าวฯที่มีเจตนาดีในการนำเสนอข้อเท็จจริงต่อประชาชน โดยพันธมิตรฯมีความยินดีให้ข้อมูล เพื่อให้ถึงประชาชนและเป็นผู้ตัดสิน โดยวิธีที่เรานำเสนอในการแยกเวทีนั้นจะทำให้ประชาชนได้รับข้อเท็จจริงได้ครบถ้วนทั้ง 2 ฝ่าย โดยเป็นการหลีกเลี่ยงการตอบโต้ปะทะกันทางความคิด ซึ่งซ้ำรอยการดีเบตที่เคยผ่านมาแล้ว ทำให้ประชาชนไม่ได้สาระข้อเท็จจริง
"ทางสมาคมนักข่าวฯเข้าใจดีว่าเคยผ่านการดีเบตระหว่างรัฐบาลกับภาคประชาชนมาแล้ว แต่เมื่อสถานการณ์ถึงตอนนี้ที่ได้ฟังเสียงจากประชาชนว่ามีการให้ข้อมูลตอบโต้กัน โดยพูดคนละเวที ทำให้ประเด็นเนื้อหาไม่ตรงกัน ทั้งเรื่อง MOU 2543 หรือพื้นที่พิพาท 4.6 ตร.กม. ดังนั้นจึงคิดทำอย่างไรจึงให้ทั้ง 2 ฝ่ายมาให้ข้อมูลกับประชาชนเพื่อรับรู้ตรงกันในเวทีเดียวกัน"
ส่วนรูปแบบที่ตั้งใจไว้คือเปิดเวทีให้มีตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและภาคประชาชน โดยมีสื่อมวลชนอาวุโสที่ติดตามประเด็นนี้มาเป็นผ็ดำเนินรายการและตั้งประเด็นคำถาม ในเบื้องต้นจะมีนายเทพชัย หย่อง ผู้อำนายการสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วยสื่อมวลชนอาวุโสที่รู้เรื่องไทย-กัมพูชาดี อาทิ นายวีระ ธีระภัทร และนายกวี จงประกิจถาวร เป็นต้น หวังว่าเป็นเวทีที่ทั้ง 2 ฝ่ายให้ข้อมูล โดยประชาชนคนดูจะเป็นผู้ตัดสินอีกครั้งหนึ่ง จึงเห็นว่าไม่ควรแยกเวทีกัน ทั้งนี้จะนำข้อเสนอของภาคประชาชนไปเสนอต่อรัฐบาลในช่วงบ่ายวันนี้ (17 ก.พ.) ก่อนแจ้งผลให้ทราบอีกครั้ง
ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า พันธมิตรฯได้เคยผ่านการพูดคุยกับรัฐบาลผ่านการถ่ายทอดสดเมื่อวันที่ 8 ส.ค.53 รวมทั้งการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยทางสาธารณะ ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล โดยเฉพาะในเวทีถ่ายทอดสดที่ภาคประชาชนมีโอกาสนำเสนอข้อมูลน้อยมาก จนเป็นเหตุให้มีการชุมนุมในขณะนี้ ทำให้ขั้นตอนการเจรจา ดีเบต หรือโต้วาทีระหว่างพันธมิตรฯกับรัฐบาลถือว่าจบแล้ว อีกทั้งคู่กรณีข้อพิพาทไม่ใช่ภาคประชาชนกับรัฐบาล แต่เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับทางกัมพูชา
"เราพร้อมที่จะให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างเต็มที่ผ่านเวทีของสมาคมนักข่าวฯ เนื่องจากที่ผ่านมานายกฯอภิสิทธิ์ใช้สื่อรัฐและสื่อกระแสหลักในการโต้แย้งข้อมูลภาคประชาชนเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งหากจะให้มีความเป็นธรรมต้องให้ภาคประชาชนมีพื้นที่สื่อบ้าง ซึ่งเราไม่ปฏิเสธที่จะมีคนกลางที่เป็นผู้รู้เชี่ยวชาญในวงการสื่อมาสอบถามระหว่างที่รัฐบาลและภาคประชาชนให้ข้อมูล"นายปานเทพ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบทั้ง 2 ฝ่ายต้องได้เวลาเท่ากันคือ 3 ชั่วโมง โดยที่มีเวลาให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องและเชื่อมโยงปัญหาทั้งหมด โดย 3 ชั่วโมงนั้นต้องเป็นช่วงไพร์มไทม์เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถเปิดเวทีในวันเดียวกันได้ โดยฝ่ายรัฐบาลควรเป็นผู้เริ่มก่อน เพราะไม่ว่าอย่างไรรัฐบาลก็ยังมีโอกาสใช้สื่อรัฐได้อีกยาวนาน
ขณะที่นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า ขอขอบคุณสมาคมนักข่าวฯที่มีเจตนาดีในการนำเสนอข้อเท็จจริงต่อประชาชน โดยพันธมิตรฯมีความยินดีให้ข้อมูล เพื่อให้ถึงประชาชนและเป็นผู้ตัดสิน โดยวิธีที่เรานำเสนอในการแยกเวทีนั้นจะทำให้ประชาชนได้รับข้อเท็จจริงได้ครบถ้วนทั้ง 2 ฝ่าย โดยเป็นการหลีกเลี่ยงการตอบโต้ปะทะกันทางความคิด ซึ่งซ้ำรอยการดีเบตที่เคยผ่านมาแล้ว ทำให้ประชาชนไม่ได้สาระข้อเท็จจริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น