วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บันทึกทนายอานนท์ฉบับที่ ๒ :
เสียงจากเบญจจำเลย “เขาเรียกเราว่าไอ้หมิ่นฯ”

ผมเห็นภาพของ ”เบญจจำเลย” แล้วทำให้ผมเผลอสบถ “เชี่ย!”เบาๆจนลืมตัว นี่หรือคือนักโทษคดีร้ายแรง นี่หรือคือคนที่กฎหมายบออกว่ากระทำความผิดอันเกี่ยวกับความมั่นคง สองคนเป็นชายชราหัวขาวโพลน อีกสองคนเป็นวัยกลางคนที่พูดจาสุภาพมากทั้งเป็นคนที่รักครอบครัว ส่วนอีกคนก็เป็นนักต่อสู้ทางสังคมในสายผู้ใช้แรงงานมาตลอดชีวิต กฎหมายแม่ง “เชี่ย” สุดๆ (ต้องขออภัยเพราะผมรู้สึกเ่ช่นนั้นจริงๆ)

โดย อานนท์ นำภา
ที่มา เวบไซต์สำนักกฎหมายราษฎรประสงค์


โลกของที่นีีจะเปิดตอน ๐๙.๐๐ น.และจะปิดตอน ๑๕.๐๐ น….

เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เป็นอีกหนึ่งเรือนจำในรั้วอันไพศาลของเรือนจำกลางคลองเปรม ผมมาที่นี่บ่อยมากนับแต่เริ่มอาชีพทนายความเมื่อครั้งเป็นทนายความให้กับคุณสุวิชาท่าค้อ จำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งปัจจุบันได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้วภายหลังจากถูกจองจำกว่า ๑ ปี กับอีก ๖ เดือน

สำหรับผมแล้ว ต้องบอกว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพนั้น เจ้าหน้าที่ค่อนข้างอัชฌาสัยดี และยังมีน้ำใจในการให้บริการทั้งกับประชาชนทั่วไปที่เข้ามาเยี่ยมญาติ และภายในห้องทนายความ

จำได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อนที่นี่เคยคึกคักมาก คราคลั่งไปด้วยพี่น้องเสื้อแดงที่มาเยี่ยมบรรดาแกนนำซึ่งถูกจองจำอยู่ที่นี่ บรรดาดอกกุหลาบสีแดง ข้าวของล้วนถูกหอบหิ้วมาอย่างน่าชื่นใจ ทว่าภาพเหล่านั้นมันหายไปแล้ว เหลือเพียงผู้ต้องขังเสื้อแดงระดับปลายแถวหลายสิบชีวิตที่ไม่มีแม้แต่ญาติที่มาเยี่ยม ความกลัว… ความเหงา…เสรีภาพ…

ผมมาถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพเกือบสิบโมงเช้า มิเตอร์แท็กซี่บอกราคาอย่างยุติธรรมว่า ๑๑๙ บาทเกือบเท่าวันก่อนหน้านี้ ภาพที่ผมเห็นและทำให้ผมรู้สึกว่า ”น้ำใจของเพื่อน” นั้นมีจริงคือ ภาพของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกับเด็กอายุราว ๑๐ ขวบ ทั้งสองไม่ใช่แม่-ลูกกัน คนนึงคือผู้ที่อาสารับดูแลเด็กคนนั้น เด็กน้อยที่ชื่อ “น้องเว็ป” ลูกชายคนเดียวของพี่หนุ่ม เรดนนท์ จำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ผู้ถูกพิพากษาจำคุก ๑๓ ปี


น้องเว็ปวิ่งกรูเข้ามากอดผมจนผมแปลกใจ เอ๊ะ ! เป็นไรหว่า? พี่สาวคนนั้นยิ้ม แล้วบอกผมว่า “น้องเว็ปชอบวิ่งเข้ามากอดเพื่อนของคุณพ่อเค้าแบบนี้แหละ ” ผมทักทายทั้งสองไม่กี่ประโยค ต้องขอตัวรีบเข้าไปเยี่ยมจำเลยเพราะกลัวจะไม่ทันเยี่ยมรอบเช้า ”พี่ครับ ผมยื่นฎีกาเรื่องขอประกันตัวพี่หนุ่มไปที่ศาลฎีกาแล้วนะครับ อาทิตย์หน้าคงทราบเรื่อง” พี่สาวคนนั้นยิ้ม ”จ๊ะ แล้วพี่จะรอฟังข่าวดี”

ผมหอบสำนวนคดีวิ่งไปตามทางเดิน เข้าไปรับเอกสารในห้องเยี่ยมสำหรับทนายความมากรอกตามแบบฟอร์ม แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ยังเป็นคนเดิมและยังส่งรอยยิ้มทักทายอย่างเปี่ยมล้นไมตรี เช้านี้ผมตีเยี่ยมจำเลย ๓ คนคือพี่หนุ่ม เรดนนท์ , พี่หมี สุริยันต์ และอากง

ระหว่างรอ ผมเดินออกมาข้างนอกห้องทนายความ พบอาจารย์จากกลุ่มนิติราษฎรสองท่านคือ อ.ปิยบุตร และอาจารย์สาวตรี(อ.ป้าน) รวมทั้งแฟนของทั้งสองท่าน อ๋อ ที่ทำให้ผมเซอร์ไพร้อีกสองคนคือ คุณอติเทพ อ.สุดา และนายทหารท่านหนึ่ง(ผมเรียกแกว่าผู้พัน) จำเลยคดีหมิ่นอีกคนเช่นกัน ทั้งหมดเข้ามาเยี่ยมพี่สมยศ และอ.สุรชัย

วันนี้ บรรยากาศที่เรือนจำครึกครื้นเป็นพิเศษ นอกจากทั้ง ๗ ท่านที่ผมกล่าวถึงแล้ว ยังมีพี่น้องเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่งที่มาเยี่ยมพี่สมยศ และอ.สุรชัย แน่นอนว่าเหล่านั้นผมคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี แม้จะจำชื่อไม่ค่อยได้ แต่ก็ส่งสายตาทักทายอย่างสนิทใจ ห้องเยี่ยมของทั้งสองคนดูแน่นไปถนัดตา ”คงมีแต่พวกเราเสื้อแดงนี่แหละนะ ที่ไม่ทอดทิ้งกัน” เสียงจากพี่สาวเสื้อแดงคนหนึ่งพูดแว่วมาเข้าหูผม ผมยิ้ม…

ผมได้พบกับหญิงชราอีกคนหนึ่ง ”ป้าอุ๊ ” แฟนอากง จำเลยอีกคนในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถูกขังมาหลายเดือนแล้ว ปัจจุบันอากงป่วยด้วยโรคมะเร็ง แต่ยังไม่ได้รับการรักษา และถูกศาลสั่งไม่ให้ประกันตัวมาแล้วหลายครั้ง เดือนกันยายนนี้ จะเป็นเดือนที่ชีชะตาของแกว่า จะได้รับอิสระภาพ หรือจำคุกกว่า ๖๐ ปี เพียงเพราะข้อกล่าวหาว่าส่งเอสเอ็มเอส เข้าโทรศัพท์มือถือเลขานุการนายก และหมอตุล ทั้งที่แกยืนยันมาตลอดว่า “ผมส่งข้อความเอสเอ็มเอสไม่เป็น” !


ป้าอุ๊ ยกมือไหว้ผมก่อนแบบไม่ถือตัว ตายหละหว่าให้คนแก่ไหว้ ”โอ้ยๆๆๆ ป้าไม่ต้องไหว้ผมหรอกป้าอุ๊” ป้าอุ๊มาเยี่ยมอากงเช่นกัน นานๆครั้งจะได้มาเี่ยี่ยม แกฝากขอบคุณพี่สาวท่านหนึ่งที่อยู่ต่างประเทศที่ส่งเงินมาช่วยเหลือครอบครัวอากง ได้ใช้ประทังชีวิต อาทิตย์หน้าหลานๆอีก ๓ คนที่ลูกแกมาฝากเลี้ยงไว้ก็จะเปิดโรงเรียน ภาพของป้าอุ๊ กับหลานๆ ๓ คนที่คุ้นหน้าคงหายไปอีกสักระยะหนึ่งแน่นอน…

ผมกลับเข้าห้องทนายความ ประตูจากโลกสนธยาถูกเปิดออก พี่หนุ่มนั่งรอผมอยู่ ท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส ผมเดาว่าคงเพราะน้องเว็ปมาเยี่ยมแน่ๆ (อิอิ) ผมคุยเรื่องอุทธรร์คดีได้สักพัก พี่หนุ่มบอกว่า ”คุณอานนท์ ผมได้คุยกับพี่สมยศ กับอ.สุรชัย ทั้งสองอยากคุยด้วย อยากให้ตีเยี่ยมพร้อมๆกัน ” ก็คงไม่มีปัญหาอะไรอย่างแน่นอน โดยส่วนตัวผมก็เคารพทั้งสองท่าน และกะจะมาเยี่ยมพอดี แต่ผมอยากเข้าพบแบบคนทั่วไปมากกว่า เพราะผมไม่ได้เป็นทนายความให้กับทั้งสองท่าน… ส่วนพี่หมีกับอากง ยังไม่ออกมา ”ทั้งสองน่าจะทานข้าวอยู่กระมัง” ผมคิดในใจ ผมจึงตัดสินใจตีเยี่ยมจำเลยทั้ง ๕ อีกครั้งพร้อมๆ กันตอนบ่าย

และนี่คือที่มาของคำว่า “เบญจจำเลย” ตามที่ผมพาดหัวไว้ข้างต้น…

ผมกลับเข้ามาในห้องทนายอีกครั้งในช่วงบ่ายเศษ ผมเห็นภาพของ ”เบญจจำเลย” แล้วทำให้ผมเผลอสะบท “เชี่ย” เบาๆจนลืมตัว นี่หรือคือนักโทษคดีร้ายแรง นี่หรือคือคนที่กฎหมายบออกว่ากระทำความผิดอันเกี่ยวกับความมั่นคง สองคนเป็นชายชราหัวขาวโพลน อีกสองคนเป็นวัยกลางคนที่พูดจาสุภาพมากทั้งเป็นคนที่รักครอบครัว ส่วนอีกคนก็เป็นนักต่อสู้ทางสังคมในสายผู้ใช้แรงงานมาตลอดชีวิต กฎหมายแม่ง “เชี่ย” สุดๆ (ต้องขออภัยเพราะผมรู้สึกเ่ช่นนั้นจริงๆ)

เราเริ่มต้นการสนทนาด้วยการแนะนำตัวกับอ.สุรชัยก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนพี่สมยศ เราเคยเจอกันสองสามครั้งแล้ว ผมให้น้องทนายความที่ไปด้วยกัน(ทนายเค) คุยกับอ.สุรชัย ส่วนผมคุยกับพี่สมยศ ที่เหลือนั่งรอบนม้านั่งด้านหลัง


พี่สมยศเล่าให้ฟังว่า ไม่ได้รับการประกันตัว และขอฝากขอบคุณกลุ่มอาจารย์นิติราษฎร รวมทั้งเพื่อนพ้องน้องพี่ที่มาเยี่ยมวันนี้ แกบอกว่าอยากให้เหล่านักวิชาการที่มีชื่อเสียงในสังคม ช่วยประกันตัวแกโดยใช้ตำแหน่งประกัน ซึ่งจะเป็นการค้ำประกันที่มีผลสะเทือนเป็นอย่างมาก เพราะว่าหากคนที่มีชื่อเสียง เป็นหลักเป็นฐานในสังคมเข้าชื่อกันประกันตัว น่าจะเป็นที่น่าเชื่อถือและเท่ากับเป็นการยืนยันว่า การจับแกนั้นเป็นการกระทำที่สังคมไม่อาจยอมรับได้

อีกอย่าง พี่สมยศแนะนำว่าหากมาเยี่ยมให้ตีเยี่ยมจำเลยคดีหมิ่นพร้อมๆกันทั้ง ๕ คนพร้อมๆ กันเลย
”ผมอยากให้พี่น้องเสื้อแดง และพี่น้องที่ัรักความเป็นธรรม มาเยี่ยมพวกเรามากๆ เพื่อยืนยันว่า การที่รัฐนำเรามาจองจำเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม และอยากให้ตีเยี่ยมจำเลยคดีหมิ่นทั้งหมดพร้อมกัน อย่างน้อยก็จะได้เป็นกำลังใจให้กัน ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในดินแดนแห่งนี้”
พี่สมยศกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมขอให้พี่สมยศช่วยพูดให้กำลังเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกสองคนที่นั่งรออยู่ด้านหลัง เพื่อที่ผมจะได้พูดคุยกับอ.สุรชัย พี่สมยศลุกไปนั่งด้านหลังสักพัก ภาพที่ผมเห็นคือนักโทษคดีการเมือง ๔ คนพูดจาให้กำลังใจกันและักันเหมือนกับเป็นญาติสนิทจนผมแทบไม่น่าเชื่อ หรือนี่ที่เค้าเรียกว่า ”คนบ้านเดียวกัน บ้านเลขที่ ๑๑๒”

หลังจากนั้นผมจึงลึกมานั่งอีกช่องหนึ่งเพื่อคุยกับอ.สุรชัย


อ.สุรชัยพูดเก่งมาก พูดเป็นต่อยหอยเลยจนผมฟังแทบไม่ทัน ผมนึกในใจ ”อาจารย์ครับ นี่ไม่ใช่ไฮปาร์คนะครับ” แกพูดเรื่องการต่อสู้ตั้งแต่แกเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกจองจำมาเป็นสิบปี ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาในเรื่องการปรับตัว เป็นห่วงก็แต่น้องๆที่เข้ามาใหม่นี่แหละ ”ผมไม่มีปัญหา(สำเนียงทองแดง) เป็นห่วงแต่พวกน้องๆนี่แหละ เข้ามาใหม่ๆหากเจอพวกผู้คุมเสื้อเหลือง มันแกล้งสารพัด ซ้อมบ้างก็มี ไม่เชื่อลองถามดูสิ บางทีมันหมั่นไส้ มันก็เรียกเราว่า ไอ้หมิ่นบ้าง ไอ้… บ้าง แล้วแต่มันจะทำ แต่สำหรับผมมันไม่กล้าหรอก 555 ” แกพูดไปหัวเราะไปอย่างมีความสุข และที่ทำให้ผมประหลาดใจคือ อ.สุรชัยบอกว่า แกไม่ได้ประกันตัว และกำลังเขียนอุทธรณ์ประกันตัวด้วยตัวเอง โอ้วพระเจ้า ! คงเพราะประสบการการอยู่ในนี้ของแกกระมัง ที่ทำให้แกดูเหมือนไม่สะทกสะท้านต่อดินแดนแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย สุดท้าย อ.สุรชัย พี่สมยศ และทุกคนฝากบอกกับพี่น้องเสื้อแดงและผู้ที่รักความเป็นธรรมทุกท่าน ขอให้มีกำลังใจในการต่อสู้ และขอให้ต่อสู้เฉพาะหน้านี้คือ เรื่องสิทธิในได้รับการประกันตัว ที่สำคัญ ขอให้สู้เพื่อจำเลยคนอื่นๆ ในเรือนจำทั่วประเทศเพื่อให้ได้รับสิทธินี้ เหมือนๆกัน

เราสนทนากันสักพักใหญ่ และนั่นไม่น่าจะเรียกว่าเป็นการสนทนาระหว่างทนายความกับจำเลยกระมัง ผมว่ามันเหมือนการปรับทุกข์ และหาหนทางต่อสู้ร่วมกันมากกว่า …

ผมอาสาทั้ง ๕ ว่า ผมขอเป็นกระบอกเสียงนำเอาเรื่องราวในแดนตารางออกมาสู่พี่น้องข้างนอก เพื่อจะได้ประสานการต่อสู้กันต่อไป อ้อ… อีกประการ หากท่านใดไม่สะดวกที่จะไปเยี่ยมทั้ง ๕ ในเรือนจำ ทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพได้มีบริการส่งจดหมายอิเล้คโทรนิค(E-mail) ผ่านทางอีเมลล์กลางของเรือนจำ คือ b_remand@hotmail.com และระบุว่าจะส่งถึงผู้ต้องขังชื่ออะไร แดนอะไร ทั้งนี้ผู้ต้องขังก็จะได้รับโดยผู้คุมจะปริ้นมาให้ฟรีๆ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

ผมขอจบบันทึกทนายความฉบับที่ ๒ เพียงเท่านี้ และขอยืนยันว่าในฐานะสำนักกฎหมายเล็กๆ จะขอเดินร่วมขบวนสายประชาธิปไตยกับพี่น้องทุกท่านไปจนกว่าเราจะได้รับประชาธิปไตยที่แท้จริง


๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔

******
-บันทึกทนายความ ฉบับที่ ๑ : เสียงกระซิบจากแดนตาราง
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น