วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

‘สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล’เสรีภาพทางวิชาการกับข้อหา‘หมิ่นเบื้องสูง’


       รายงาน(วันสุข)
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 6 ฉบับที่ 308 ประจำวัน จันทร์ ที่ 2 พฤษภาคม 2011
         โดย ทีมข่าวการเมือง
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10555

         นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกแถลงข่าวลงวันที่ 24 เมษายน 2554 กรณีผลกระทบต่อเสรีภาพทางวิชาการกรณีการอภิปรายเรื่อง “สถาบันกษัตริย์-รัฐธรรมนูญ-ประชาธิปไตย” เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 เนื่องจากถูกข่มขู่ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งนายสมศักดิ์เป็นหนึ่งในรายชื่อใน “ผังล้มเจ้า” ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขณะที่นักวิชาการจากกลุ่มสันติประชาธรรมและกลุ่มต่างๆทั้งในและต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐยุติการคุกคามเสรีภาพของประชาชนเช่นกัน โดยแถลงการณ์ของนายสมศักดิ์มีดังนี้

 “ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความทางวิชาการ ข้อเขียนอื่นๆ และได้พูดอภิปรายเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ โดยการกระทำต่างๆเหล่านี้ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่ผมจะเสนอให้ “ล้มเจ้า” หรือ “ล้มเลิกสถาบันกษัตริย์” สิ่งที่พูดและเขียนทั้งหมดล้วนอยู่ในกรอบของการมีสถาบันกษัตริย์ทั้งสิ้น ขณะเดียวกันผมก็ไม่ปิดบังทรรศนะที่ว่า สถาบันกษัตริย์ควรต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการปกครองในแบบประชาธิปไตย หลักนิติธรรม และพัฒนาการของโลกสมัยใหม่ ซึ่งทรรศนะหรือการเสนอให้เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงสถาบันกษัตริย์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่ผิดกฎหมายทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายอาญา ผมจึงได้พูดและเขียนโดยใช้ชื่อจริงอย่างเปิดเผยมาโดยตลอด เมื่อต้นปีกลาย (2553) ผมได้รวบรวมความเห็นเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ออกมาเป็นข้อเสนอ 8 ข้อ เสนอต่อสาธารณชนโดยเปิดเผย และเป็นที่รู้จักกันดีพอสมควร ส.ว.คำนูณ สิทธิสมาน ยังได้เคยนำข้อเสนอ 8 ข้อนี้ไปตีความเผยแพร่และอภิปรายในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553 มาแล้ว


การอภิปรายของผมเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 และการพูดหรือเขียนในโอกาสต่อๆมาก็ล้วนแต่ทำขึ้นภายใต้กรอบข้อเสนอที่ไม่ผิดกฎหมาย เรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ที่มีรูปธรรม 8 ข้อนี้ทั้งสิ้น


อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพลเรือนหรือทหาร เห็นว่าการกระทำของผมเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผมยินดีจะชี้แจงโต้แย้งข้อกล่าวหาดังกล่าวตามกระบวนการทางกฎหมายทุกประการ ไม่เคยคิดที่จะหลบเลี่ยงแต่อย่างใด และดังที่ทราบกันดี ในส่วนของประชาชนอื่นๆที่ไม่เห็นด้วยกับผม ผมพร้อมและเคยทำการโต้แย้งแลกเปลี่ยนด้วยโดยเปิดเผยเสมอ


แต่ในระยะ 2 สัปดาห์เศษที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของรัฐได้สร้างบรรยากาศตึงเครียดกดดันในข้อหาที่เรียกกันว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ผู้บัญชาการทหารบกได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา โจมตี “นักวิชาการโรคจิต” ที่ “จ้องทำลายสถาบัน” หลังจากนั้นการออกมาให้สัมภาษณ์รายวันและตบเท้าแสดงกำลังของทหารตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนเป็นต้นมา ในเรื่องข้อกล่าวหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” แม้จะไม่เกี่ยวข้องพาดพิงถึงผม แต่ได้สร้างบรรยากาศแห่งความน่าหวาดกลัวให้กับสังคมไทยในเรื่องนี้
ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวผมเองนั้น เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้มีบุคคลระดับนำของรัฐบาลเปิดเผยเป็นส่วนตัวว่า มีแรงกดดันจากทหารให้ดำเนินการกับผมเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนถึงการเตรียมที่จะจัดการทางกฎหมายกับผม


ดังที่ได้กล่าวในตอนต้นว่า สิ่งที่ผมได้ทำไปในเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในระยะไม่กี่วันที่ผ่านมาคือ ภายใต้การแสดงกำลังรายวันของทหารที่ทำให้เกิดบรรยากาศของความหวาดกลัวในเรื่องนี้ ได้มีปรากฏการณ์แปลกๆเกิดขึ้นกับผมโดยตรง เช่น เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีชาย 2 คน ขี่มอเตอร์ไซค์ 2 คันเข้าไปวนเวียนในหมู่บ้านผม 2 ครั้ง เมื่อยามหมู่บ้านถามก็ได้รับคำตอบแต่เพียงว่า “มารับตัวอาจารย์” โดยไม่มีการแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่หรือมีเอกสารราชการมาแสดงแต่อย่างใด


นอกจากนี้ยังมีโทรศัพท์ลึกลับไปยังบ้านผม เตือนให้ระมัดระวังตัวว่าขณะนี้หน่วยงานด้านความมั่นคงบางหน่วยได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่หลายสิบนายคอยเฝ้าติดตามผมอยู่ตลอดเวลาโดยใกล้ชิด พร้อมจะดำเนินการจับกุมผมทันทีที่ได้รับคำสั่ง


ผมขอย้ำว่าผมกระทำการวิพากษ์วิจารณ์และเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์โดยเปิดเผยภายใต้กรอบของกฎหมายเสมอมา แต่ขณะเดียวกันภายใต้บรรยากาศและสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นดังกล่าวข้างต้น ผมจำเป็นต้องเรียนสื่อมวลชนและสาธารณชนและฝากผ่านไปยังเจ้าหน้าที่รัฐว่า สิทธิในการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับสถานะของสถาบันกษัตริย์นั้นเป็นสิทธิที่ชอบธรรมและได้รับการรับรองตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล แม้แต่ในหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยเอง ในส่วนที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เรียกว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” นั้น หากจะมีการดำเนินการอย่างใด ไม่ว่าในกรณีผมเองหรือกรณีอื่นๆ ควรดำเนินการไปตามแนวทางของกฎหมายโดยปรกติ ควรหยุดการสร้างบรรยากาศของความหวาดกลัวที่เอื้ออำนวยให้กับการใช้อำนาจนอกระบบไม่ว่ารูปแบบใดๆ ไม่ว่าจะต่อผมเองหรือผู้ถูกกล่าวหาอื่นๆ การออกมาแสดงกำลังรายวันของทหารเป็นเวลาถึง 10 กว่าวันติดต่อกัน ภายใต้ข้ออ้างเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ไม่ใช่การปฏิบัติในลักษณะที่เป็นไปตามครรลองของกฎหมาย และมีแต่จะส่งเสริมให้เกิดการกระทำที่นอกเหนือจากครรลองของกฎหมายตามมาได้


ผมขอย้ำว่าผมมีความบริสุทธิ์ใจและเปิดเผยในสิ่งที่ตัวเองทำมาตลอด หากทางเจ้าหน้าที่มีปัญหาสามารถเรียกให้ผมเข้าพบ ซึ่งผมพร้อมเสมอที่จะเข้าชี้แจง ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องออกหมายจับตัว หรือส่งคนคอยควบคุมการเคลื่อนไหวใดๆ หรือใช้วิธีการกดดัน ตลอดจนวิธีการที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย และหากถึงขั้นมีการตั้งข้อหาดำเนินคดี ผมพร้อมใช้สิทธิต่อสู้คดีและขอประกันตัว เพราะผมเองมีงานราชการสอนหนังสือและวิจัยทางวิชาการที่จะต้องทำอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยคิดที่จะหลีกเลี่ยงหรือหลบหนีใดๆ ผมเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จึงจะเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่ในกรณีตัวผมเอง แต่รวมทั้งกรณีอื่นๆที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”


รักประเทศและจงรักภักดี


อนึ่ง นายสมศักดิ์ได้ย้อมผมเป็นสีดำและกล่าวกับผู้ให้กำลังใจว่า บรรยากาศทางการเมืองช่วงที่ผ่านมาชวนให้อึมครึมและเซ็ง ทั้งแม่ทั้งภรรยายุให้ย้อมผมหลายปีเลยลองย้อมดู รู้สึกว่าหล่อสู้ของเก่าไม่ได้ พร้อมกล่าวขอบคุณกลุ่มนิติราษฎร์และนักวิชาการ รวมถึงผู้ให้การสนับสนุนและให้กำลังใจ แม้ที่ผ่านมาจะมีการถกเถียง ทะเลาะเบาะแว้ง โดยยืนยันว่า “ผมรู้สึกว่าถ้าเป็นอะไรไปหลังจากนี้ก็คุ้มกับชีวิต”


นายสมศักดิ์เปิดเผยว่า เรื่องที่ผ่านมาไม่ได้กระทบกันตนเองมากเท่ากับภรรยา
“หลังจากนั้นมีข่าวกระซิบเขียนด่า แต่สัปดาห์ที่ผ่านมามีการพูดชัดเจน มีตัวตนชัดเจน เช่น คุณประยุทธ์ (จันทร์โอชา) มีโทรศัพท์ไปถึงบ้าน ภรรยาก็ตกใจ เพื่อนฝูงบอกให้ผมเผ่นไป ผมก็คิดอยู่ บางคนกลัวว่าผมจะโดนดักตีหัว ในที่สุดผมก็คิดว่าไม่ เพราะสิ่งที่ผมพยายามทำคือการพยายามเปิดพื้นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าสังคมไทยไม่ใช่ทุกคนมีความเห็นเหมือนกันหมดเกี่ยวกับสถานะของสถาบันกษัตริย์ มีคนที่เห็นต่างจากการโฆษณาชวนเชื่อ เผลอๆเกือบจะเหยียบล้านคนด้วย


บรรดาผู้พิทักษ์สถาบันทั้งหลายควรจะตั้งสติให้ดีว่า คนเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านที่ไม่ได้คิดเหมือนกัน คุณจะทำอย่างไร จะไล่ออกไปนอกประเทศหรือ ปัญหาคือไม่ใช่อย่างนั้น มีคนจำนวนมากที่เห็นว่าสถานะปัจจุบันของสถาบันกษัตริย์เป็นเรื่องที่...อย่างน้อยที่สุดคือการอภิปรายกันอย่างตรงไปตรงมา
ผมยอมรับว่าการอภิปรายเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมส่งผลที่ผมคาดไม่ถึง แม้แต่พาหมาไปหาหมอหรือขึ้นลิฟต์ในมหาวิทยาลัยก็มีเด็กมาจ้องหน้าผมว่านี่คือคนที่อยู่ในวิดีโอใช่ไหม นี่คือความเป็นจริงที่ว่า มีคนเห็นอย่างหลากหลายเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ สิ่งที่ผมทำไม่มีอะไรมากไปกว่าการเปิดพื้นที่และบอกว่าเราสามารถอภิปรายเรื่องสถาบันได้ และพิสูจน์ได้ว่าผมไม่เคยบอกให้เลิก สิ่งที่ผมพยายามจะทำคือเอาประเด็นพวกนี้มาเปิดการอภิปราย และชี้ให้เห็นว่าถ้าพูดโดยหลักสามัญสำนึก ผมเถียงจนคนที่มาเชียร์ผมเหนื่อยกันไปเอง แต่ผมก็ยังไม่หยุด และการถกเถียงมันหยุดไป เช่น บอร์ดเสรีไทย เพราะใช้วิธีแบนผม


ผมไม่คิดจะหนีไปไหน ผมอยากจะสื่อสารไปถึงคนเหล่านี้ว่า ให้มองความเป็นจริงของสังคมไทยบ้าง ความเป็นจริงของโลกบ้าง ถึงคุณจะไม่เห็นด้วย โกรธ หรือเกลียดมากอย่างไรก็ตาม แต่ความเป็นจริงคือคนเหยียบล้านที่คิดไม่ตรงกัน แล้วการพยายามจะปิดโน่นปิดนี่ เอากฎหมาย 112 มาเล่นงานคนเป็นร้อยๆ แล้วตอนนี้จะแก้ไขอย่างไร มันไม่มีที่สิ้นสุด ที่จะสิ้นสุดได้คือการพูดกันอย่างตรงไปตรงมาภายใต้หลักการประชาธิปไตย ต่อให้ความเห็นไม่ตรงกันอย่างไรก็มานั่งเถียงกัน การจับคนนั้นคนนี้เข้าคุก แม้แต่อากง (ชายที่ถูกกล่าวหาว่าส่ง SMS หมิ่นเบื้องสูงไปยังโทรศัพท์มือถือของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) ก็ไม่ปล่อย หรือคุณสุรชัย (สุรชัย แซ่ด่าน) ถึงปล่อยมาแกก็คงไม่ไปไหนหรอก เพราะถ้าจะไปแกคงไปก่อนหน้านี้แล้ว นั่นไม่มีเหตุมีผล และที่สุดแล้วก็จะนำไปสู่การปะทะใหม่ นำไปสู่ความรุนแรง นำไปสู่การเสียชีวิตอีก
บรรดาที่ออกมาตบเท้าลองถามตัวเองดีๆว่าคุณต้องการให้เป็นอย่างไร คุณปิดปากเขา เขาพูดตรงๆไม่ได้ก็ใช้สัญลักษณ์พูด นี่คือความจริง คุณประยุทธ์เองก็ตาม ไม่มีประโยชน์นะครับ ท่าทีแบบนี้ไม่มีทางที่จะทำให้คนไม่คิด ไม่พูด ไม่อภิปรายกัน ประเทศไทยไม่มีทางกลับไปถึงยุคที่คนพูดเป็นเสียงเดียวกันหมด ซึ่งมียุคนั้นจริงหรือเปล่าไม่รู้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และวิธีแก้ปัญหาแทนที่จะใช้กำลังกดดัน จับคนแก่ ไม่ให้ประกันผู้หญิง ศาลยกเลิกคำตัดสินไปแล้วก็ยังไม่ให้ประกัน วิธีแบบนี้มีแต่ทำให้คนที่ไม่พอใจอยู่แล้วไม่พอใจยิ่งขึ้น คนที่สงสัยก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น และนำไปสู่การปะทะ


ใครที่เคยอ่านเคยฟังผมก็พูดแบบนี้มาตลอด แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมพยายามยืนยันคือ การเสนอให้แก้ไขปรับปรุงสถาบันกษัตริย์ และถ้าทำตามที่ผมว่าสถาบันกษัตริย์จะมั่นคงมาก ผมยังคิดเล่นๆว่า ในอนาคตพวกรอยัลลิสม์จะต้องมาขอบคุณผม ประเด็นคือในระยะยาวเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ที่คุณให้ข้อมูลด้านเดียวตลอดเวลา ตบเท้า ทำให้ทุกคนต้องเงียบ มันทำไม่ได้หรอก และจะทำให้ประเทศนี้ไม่น่าอยู่มากๆ


ผมรักประเทศนี้ แต่เราต้องการประเทศหรือบ้านที่มีสภาพแวดล้อมที่น่ารักกว่านี้ คนมีเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ ถ้ามีเรื่องไม่เห็นด้วยก็แสดงความไม่เห็นด้วยออกมา ไม่ใช่ว่าพอเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์แล้วต้องเงียบ ฐานคิดของผมคือทำให้เราทุกคนมีความเป็นคนปรกติในเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เหมือนเรื่องอื่นๆ องค์กรสาธารณะอื่นๆ เมื่อไม่เห็นด้วยก็เถียงกันออกมา นี่คือความเป็นคนปรกติธรรมดา แต่สถานะของสถาบันกษัตริย์มาถึงจุดที่ว่า เมื่อคุณจงรักภักดีมากแล้วพอมีคนไม่เห็นด้วย คุณต้องการให้คนที่ไม่เห็นด้วยเป็นอะไรล่ะ สังคมแบบนี้ ประเทศแบบนี้ไม่น่าอยู่เอามากๆ”


กลุ่มนิติราษฎร์เดินหน้าต่อ


นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในกลุ่มนิติราษฎร์ ได้กล่าวถึงที่มาของการจัดอภิปรายเรื่องสถาบันกษัตริย์กับรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2553 ซึ่งเป็นที่มาของการแถลงข่าววันนี้ว่า เป็นเรื่องที่กลุ่มนิติราษฎร์ทำขึ้น โดยมีความมุ่งหมายที่จะแสดงทรรศนะทางกฎหมายในประเด็นที่เป็นสาธารณะ โดยเริ่มจากเรื่อง “ตุลาการ มโนธรรมสำนึก สถาบันกษัตริย์ รัฐธรรมนูญ” ถัดจากนั้นคือ “กองทัพกับประชาธิปไตย” และล่าสุดคือ “กฎหมายว่าด้วยหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” เป็นการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และตั้งใจจะทำต่อไปอีก


หลังจากจัดงานในวันที่ 10 ธันวาคม 2553 ก็เกิดผลพวง โดยบุคคลกลุ่มหนึ่งร้องเรียนไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ดำเนินการกับกลุ่มอาจารย์ที่จัดงานและต้องการให้ดำเนินการทางวินัยกับนายสมศักดิ์ด้วย แต่ประเด็นเหล่านี้เห็นว่ายังไม่มีน้ำหนักมากเพียงพอ และกลุ่มทำกิจกรรมทั้งหมดด้วยความสุจริตใจ


ในตอนท้ายของการอภิปรายวันนั้นได้บอกแล้วว่าไม่มีใครบอกให้เปลี่ยนรูปการปกครองเป็นสาธารณรัฐ การเสนอวันนั้นอยู่ในกรอบประชาธิปไตย อยู่ในกรอบกฎหมาย เมื่อเกิดสภาพแบบนี้จึงต้องคิดแล้วว่าจะเดินต่อไปข้างหน้า ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้แล้วทุกคนเงียบหมด กิจกรรมแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกไม่ได้
กลุ่มนิติราษฎร์จึงเห็นว่าเป็นภาระหน้าที่ทางวิชาการที่ต้องทำเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้เรื่องเหล่านี้เป็นประเด็นสาธารณะ อภิปรายกันได้อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆอภิปรายกัน สิ่งที่เกิดขึ้นถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ยังคงนิ่งเฉย ที่สุดแล้วพื้นที่น้อยนิดที่มีในสังคมไทยก็จะหดหายไป


“หลายคนอาจแปลกใจว่าคนที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 มีหลายคน แต่ทำไมไม่ออกมาแถลงข่าวแบบวันนี้ ผมเรียนว่าการอภิปรายทั้งหมดทางวิชาการที่เราทำมาแล้ว และที่จะทำต่อไปนี้คือการช่วยเหลือบุคคลทั้งหลายทั้งปวงที่ถูกดำเนินคดีเหล่านี้อยู่ เราเรียกร้องให้เกิดการดำเนินกระบวนการตามกฎหมายอย่างเป็นธรรม แต่กรณีอาจารย์สมศักดิ์เป็นพื้นที่ทางวิชาการ เนื้อหาทางวิชาการทำอย่างเปิดเผย เปิดโอกาสให้โต้แย้งกันด้วยเหตุด้วยผล แล้วยังเกิดสิ่งที่เล่าให้ฟังไป ปัญหาคือเราไม่สามารถขยับเขยื้อนต่อไปได้อีก สังคมไทยจะตกอยู่ในภาวะเงียบงัน ไม่มีใครกล้าพูดในประเด็นเหล่านี้ ซึ่งทุกคนมีความชอบธรรมที่จะพูดได้”


นายวรเจตน์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวของนายสมศักดิ์ที่จะปล่อยให้ไปเผชิญปัญหาโดยลำพัง กลุ่มนิติราษฎร์ในฐานะผู้จัดงานจึงต้องร่วมรับผิดชอบ และยืนยันว่าทำในกรอบของกฎหมาย สิ่งที่ทำในวันนี้เป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ใจของเราทั้งหมด และการกระทำทางวิชาการของเราเป็นเรื่องที่จะมาข่มขู่กันไม่ได้


"การแถลงข่าววันนี้ไม่ได้มีเฉพาะนิติราษฎร์เท่านั้น เราไม่ได้มีกำลังทรัพย์สิน ไม่ได้มีอาวุธ เรามีเพียงกำลังสติปัญญาตอบแทนกับสังคม การที่บุคคลที่ไม่มีอะไรเลยอย่างพวกเราถูกกระทำในลักษณะที่ล่วงละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพอย่างนี้ เราต้องทำเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องฉุกละหุกเมื่อวานนี้ และเราได้รับกำลังใจจากนักวิชาการหลายท่านที่มาร่วมกับเราในวันนี้ กลุ่มสันติประชาธรรมที่ให้การสนับสนุนอย่างดี นักวิชาการอื่นๆและอีกหลายท่านที่ไม่สามารถมาได้ ทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนก็กำลังจะแถลงท่าทีเหมือนกัน…ไม่ว่าเราจะมีแรงกดดัน แรงเสียดทานอย่างไร เราจะพยายามทำต่อไปอีก”


ครูบาอาจารย์ไม่ใช่นักเลงหัวไม้


นายพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สิ่งที่นักวิชาการถูกคุกคามเมื่อเทียบกับคนที่ติดคุกก็ถือว่าเรื่องนิดเดียว ดังนั้น ในฐานะนักวิชาการเขาไม่เรียกร้องให้ตัวเอง เขาเรียกร้องแทนผู้ที่สูญเสีย ปัจจุบันมีการใช้มาตรา 112 เยอะมาก เทียบกับสมัยก่อนที่มีคดีน้อยและใช้อย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรานี้อย่างพร่ำเพรื่อจะเกิดผลทางลบต่อผู้ใช้กฎหมายนี้เอง


“เราเอาประเด็นนี้มาพูดบนโต๊ะ เพราะเราไม่อยากให้พูดเรื่องนี้กันเงียบๆจนก่อให้เกิดความเสียหาย เราพูดเรื่องนี้เพื่อผลประโยชน์ของสถาบัน ไอ้วิธีการเอาคนมาวนมอเตอร์ไซค์เลิกเสียทีได้ไหม สงสัยก็เรียกไปคุย ไม่หนี ไม่ไปไหนทั้งนั้น ไม่มีน้ำยาอะไรหรอก มีแต่สติปัญญากับปริญญาใบสองใบ มีปัญหาก็พูดคุยกันแต่อย่าใช้วิธีการไม่ถูกต้อง อาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นครูบาอาจารย์ไม่ใช่นักเลงหัวไม้ ขอให้ปฏิบัติกันเยี่ยงวิญญูชน” นักวิชาการจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าว


เปิดพื้นที่ทำให้สถาบันยั่งยืน


รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิชจกุล ศูนย์สิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ขอคารวะจิตใจของกลุ่มนิติราษฎร์ นายสมศักดิ์ และประชาชนที่พูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมา กล้าหาญในการให้ความเห็นต่อการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งดิฉันเข้าใจว่าเป้าหมายจริงๆแล้วต้องการสร้างความมั่นคงให้สถาบันกษัตริย์ไปอีกยาวนานถ้ามีการเปลี่ยนแปลง และน่าจะเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ซึ่งนิตยสารรายสัปดาห์พาดหัวเรื่องล้มเจ้าหมด ทำให้มองว่าประเด็นนี้ถูกนำมาทำให้อ่อนไหว แต่สื่อกระแสหลักหรือสื่อทั่วไปพร้อมจะเล่นประเด็นนี้ แต่เหตุการณ์วันนี้เรามากันเยอะ เข้าใจว่าไม่มีทีวี.สักช่องที่จะรายงาน


“เมื่อดิฉันเห็นที่พาดหัวนิตยสารการเมืองรายสัปดาห์ ดิฉันคิดถึงผังล้มเจ้าและมีรายชื่อบุคคลจำนวนมาก ขณะนี้ยังไม่สามารถหาหลักฐานที่ยืนยันว่ามีขบวนการล้มเจ้า ขอถามคนที่ทำผังล้มเจ้าว่า มีวัตถุประสงค์อะไรถึงเอาผังล้มเจ้าออกมา โดยที่เหตุการณ์ผ่านมาเนิ่นนานแล้วยังไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้นที่ว่ามีขบวนการล้มเจ้าอยู่จริงในประเทศไทย”


อาจารย์กฤตยากล่าวว่า ไทยได้เลือกแล้วที่จะเป็นประเทศประชาธิปไตยเสรีนิยม ปีหน้าเราครบ 80 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 แม้มีรัฐประหารเป็นครั้งคราว แต่คนที่ทำรัฐประหารเองก็ไม่กล้าปิดประเทศ หมุนย้อนกลับไปเหมือนที่คนไทย ทหารไทย ชี้หน้าด่าประเทศเพื่อนบ้านว่าล้าหลัง จึงเข้าใจว่าคนเหล่านี้ไม่กล้าที่จะพาประเทศไปสู่ภาวะล้าหลังเช่นนั้น การเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาในกรอบของกฎหมายเป็นภูมิคุ้มกันที่ดี เป็นการสร้างสติปัญญา เมื่อมีสติปัญญาแล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลในทางที่เป็นคุณภาพ


อาจารย์กฤตยาระบุว่า ความขัดแย้งใน 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ไม่มีพระ-มาร ไม่มีพระเอก-ผู้ร้าย เป็นความขัดแย้งเชิงคุณภาพ เพราะเป็นความขัดแย้งที่แสดงให้เห็นว่าบางสิ่งบางอย่างไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ปีนี้และอีกหลายๆปีจะเป็นปีแห่งมหาภัยพิบัติ ขณะเดียวกันก็เป็นปีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของประชาชนในแอฟริกาและตะวันออกกลาง


“ลักษณะจิตใจแบบนี้อยู่ในพื้นฐานจิตใจของประชาชนในประเทศไทยด้วย นี่เป็นจิตใจที่เราต้องการ เป็นจิตใจที่นำพาประเทศไทยไป มีแต่การเปิดพื้นที่เท่านั้นที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ยั่งยืนมั่นคง เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณภาพมากขึ้น”



ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 308 
วันที่ 30 เมษายน – 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หน้า 5-7 
คอลัมน์ รายงานพิเศษ โดย ทีมข่าวการเมือง
2011-05-02
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น