“สถานการณ์ที่เป็นไปในวันนี้เกี่ยวโยงกันทั้งหมด โดยจะมีการหาเรื่องให้ถอนประกันแกนนำคนเสื้อแดง จากนั้นจะรอให้มีการยุบสภาแล้วค่อยลงมือ โดยมีชื่อเรียกปฏิบัติการนี้ว่าถอน ยุบ ยึด ซึ่งได้ข่าวมาว่าจะเริ่มต้นในสัปดาห์หน้า (25-29 เมษายนเป็นต้นไป) ที่จะมีการถอนประกัน แล้วรอให้ยุบสภาต้นเดือนพฤษภาคมและยึดอำนาจ แต่ถ้ากระบวนการยุติธรรมพิจารณาแล้วให้ความเป็นธรรมและเมตตาคนเสื้อแดง ไม่ถอนประกันแกนนำคนเสื้อแดง สิ่งที่จะทำในปฏิบัติการครั้งนี้คือ เมื่อมีการยุบสภาก็จะมีการยึดอำนาจทันที โดยจะบุกควบคุมตัวแกนนำคนเสื้อแดงให้แล้วเสร็จก่อนที่จะดำเนินการกับผู้นำในรัฐบาล ซึ่งจะเป็นการยึดอำนาจที่ประหลาดที่สุดในโลก”
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน แถลงเมื่อวันที่ 21 เมษายน กรณีหน่วยกำลังในกองทัพบกตบเท้าแสดงพลังและสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ประกาศปกป้องสถาบันว่า ได้ข้อมูลมาว่าความเคลื่อนไหวเหล่านี้มีเนื้อแท้เป็นการเช็กแถวเตรียมความพร้อมสำหรับการทำรัฐประหารของคนในกองทัพ โดยมีนายทหารบกยศนายพลแจ้งว่า มีการคิดอ่านเตรียมการใหญ่โตที่จะสกัดการเลือกตั้ง เนื่องจากทุกกระแส ทุกผลสำรวจ ทุกโพล สรุปตรงกันว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง จึงมีการแสดงพลังทหารที่ใกล้ชิดกับนายทหารใหญ่ที่กุมอำนาจอยู่ในปัจจุบัน เพื่อโชว์ว่าผู้นำเหล่าทัพมั่นใจว่ามีความพร้อมที่จะเคลื่อนกำลังออกมาทำรัฐประหาร
เกียรติยศของทหาร?
แม้เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2554 พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) จะนำผู้บัญชาการทั้ง 3 เหล่าทัพคือ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และผู้แทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงยืนยันว่ากองทัพจะไม่ปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองใดๆทั้งสิ้น ให้เชื่อในเกียรติยศและคำพูดของทหาร เพราะกองทัพยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กองทัพจะไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน หากมีใครอยากดำเนินกิจกรรมทางการเมืองก็ควร ลาออกไปก่อน หรือใครเอากำลังออกมาถือเป็นกบฏ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 12 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์ได้สั่งให้ฝ่ายกฎหมายของสำนักพระธรรมนูญ กองทัพบก เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ กับ 3 แกนนำ นปช. คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวิเชียร ขาวขำ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ กรณีขึ้นปราศรัยบนเวทีบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน อาจเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษนายจตุพรและพวกรวม 18 คน ที่ยืนรุมล้อมนายจตุพรขณะใช้ถ้อยคำปราศรัยว่า แสดงออกทั้งภาษากาย กระทำ หรือสนับสนุน เช่น การปรบมือ การโห่ร้องส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจในการปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเป็นการล่วงละเมิดสถาบัน มีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐว่าด้วยการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 116
หลังจากนั้นหน่วยกำลังของทหารรักษาพระองค์ในกองทัพบกต่างออกมา “ตบเท้า” เพื่อแสดงพลังพร้อมปกป้องสถาบัน และปฏิบัติตามคำสั่งของ ผบ.ทบ. โดยเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง และสามารถนำกำลังออกมาได้ภายใน 30 นาที เริ่มจากกองพลที่ 1 รักษาพระ องค์ (พล.1 รอ.) ทั้งนี้ ทหารรักษาพระองค์ทั่วประเทศจะออกมาแสดงพลังให้ครบทั้ง 69 หน่วย
การออกมาตบเท้าแสดงพลัง แม้จะอ้างเรื่องสถาบันทั้งที่ผู้นำเหล่าทัพออกมาแถลงว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า สั่งไม่ให้ทหารออกมาตบเท้าแสดงพลังอีกหลังจาก พล.1 รอ. ออกมาตบเท้าเป็นหน่วยแรก และขอร้องให้ทุกฝ่ายอย่าดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง
“อย่าให้ทหารต้องเป็นผู้แก้ปัญหาทุกครั้ง ผมไม่อยากให้เกิดเป็นเรื่องของความไม่ไว้วางใจทหาร ไม่เช่นนั้นต่อไปทหารคงทำอะไรไม่ได้เลย จะฝึกจะเคลื่อนกำลังก็ถูกมองว่าเป็นการปฏิวัติไปหมด”
กอ.รมน. ลุยคุมสื่อแดง
อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของกองทัพดังกล่าวถูกวิจารณ์จากหลายฝ่ายว่าเป็นการคุกคาม ข่มขู่ ไม่ต่างกับบทบาทของกองทัพในอดีต และในที่สุดก็หนีไม่พ้นการทำรัฐประหาร จึงย้อนคำถามถึงผู้นำกองทัพว่า “ปากว่าตาขยิบ” หรือไม่ เพราะ พล.อ.ทรงกิตติพูดด้วยเกียรติยศของทหารว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่การออกมาตบเท้าโดยอ้างการปกป้องสถาบัน และฟ้องแกนนำ นปช. นั้นเหมาะสมหรือไม่ เพราะเหมือนเป็นการดิสเครดิตทั้งคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นช่วงใกล้จะยุบสภาและมีการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (รอง ผอ.กอ.รมน.) มีคำสั่งให้ กอ.รมน.ภาคและจังหวัดตรวจสอบการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงทางสถานีวิทยุชุมชน เว็บไซต์ และอินเทอร์เน็ต เพื่อให้แจ้งเบาะแสและข้อมูลการละเมิดสถาบันไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ขณะที่ กอ.รมน. ก็อ้างส่งทหารลงพื้นที่ต่างๆเพื่อทำความเข้าใจ เผยแพร่การเทิดทูนสถาบัน และสร้างความรัก ความสามัคคี ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบว่ามีการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงหรือไม่ ซึ่งเป็นแนวทางการสนับสนุนการเลือกตั้งเหมือนปี 2550
แต่ก็มีรายงานข่าวว่า กอ.รมน. กำลังระดมมวลชนประมาณ 700,000 คน ให้ออกมาแสดงพลังเคลื่อนไหวสนับสนุน ผบ.ทบ. เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ทหารที่ออกมาตบเท้าสนับสนุน ผบ.ทบ. ในการปกป้องสถาบัน อย่างเมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา มีกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยใส่เสื้อสีชมพู 750 คน จาก 7 จังหวัดภาคอีสานคือ ขอนแก่น อุดรธานี กาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร หนองบัวลำภู และสกลนคร เดินทางโดยรถบัส 15 คัน มาให้กำลังใจ ผบ.ทบ.
จับและปิดสื่อเสื้อแดง
นอกจากนี้วันที่ 26 เมษายน ชุดปฏิบัติการร่วม ซึ่งประกอบด้วยกำลังจาก กอ.รมน. กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) และตำรวจท้องที่ ได้นำหมายศาลกระจายกำลังกันเข้าตรวจค้นสถานีวิทยุชุมชนที่เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย และดำเนินคดี โดยเฉพาะสถานีวิทยุที่กระจายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตรวม 13 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ 7 แห่ง และปริมณฑลอีก 6 แห่ง
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ระบุว่า วิทยุชุมชนทั้ง 13 แห่งออกอากาศในลักษณะจาบจ้วงสถาบัน โดย 3 แห่งมีมวลชน นปช. มาปิดล้อมขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จึงเตือนผู้ที่ขัดขวางว่าจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และหากพบว่ามีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองให้การสนับสนุนก็จะขยายผลจับกุมให้ได้
“ขอยืนยันว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามพยานหลักฐาน ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทำตามคำสั่งของรัฐบาล อยากจะฝากประชาชนที่ฟังวิทยุดังกล่าว ส่วนหนึ่งเข้าใจว่าวิทยุชุมชนทำประโยชน์ให้กับชุมชน และประชาชน แต่อาจมีบางช่วงบางตอนที่ประชาชนไม่ได้ฟังผู้ดำเนินรายการพูดที่เข้าข่ายจวบจ้วงสถาบัน”
ส่วนข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงเข้มงวดจับกุมช่วงใกล้ยุบสภานั้น พล.ต.อ.วิเชียรให้เหตุผลว่า ได้รับการร้องเรียนเรื่องนี้มานานแล้ว และตรวจสอบพบว่ามีความผิดจริงตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมาว่ามีการกระทำผิดหลายอย่าง รวมถึงการกระทำเพื่อปลุกระดมประชาชนไปในทางที่ผิดเพื่อผลประโยชน์ในการเลือกตั้ง หากการสอบสวนขยายผลพบว่ามีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องจะมีผลต่อใบเหลืองและใบแดงในอนาคตด้วย
ต่อข้อถามว่ามีสถานีวิทยุชุมชนอื่นๆที่เข้าข่ายผิดกฎหมายอีกหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า จะมีการตรวจสอบ ต่อไป โดยเฉพาะสถานีวิทยุชุมชนในภาคเหนือ อีสาน และภาคใต้ ซึ่งพบว่ามีผู้ดำเนินรายการ 2 ราย จาก 14 สถานี เคยมีหมายจับในข้อหาหมิ่นเบื้องสูงของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยทำการเปิดซ้ำอีกจนถูกจับกุมในครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังจับตาเว็บไซต์อีก 326 เว็บไซต์ที่อาจมีการโพสต์ข้อความและบทความที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบัน
อ้างผิดกฎหมาย?
นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ผู้ก่อตั้งสถานีวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ และแกนนำ นปช. เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและ กสทช. ได้ขอหมายศาลตรวจค้นสถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง 13 แห่ง โดยเริ่มตรวจค้นที่ลำลูกกาก่อน แต่อีก 11 สถานีรู้ความเคลื่อนไหวจึงเอาเครื่องส่งออกหมด ส่วนสถานีลำลูกกาถูกยึดเครื่องส่งและอุปกรณ์ต่างๆ โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าผิดกฎหมาย ใช้วิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต
นายชินวัฒน์ให้ความเห็นว่า ถ้าเอากฎหมายนี้มาใช้ทุกสถานีทั่วประเทศก็ผิดกฎหมายหมด หากจับต้องจับหมด จึงจะหารือแกนนำ นปช. เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทราบว่าการจับครั้งนี้น่าจะเป็นเรื่องการเมือง เพราะโพลเลือกตั้งที่ออกมาทุกครั้งระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้ข่าวว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เองก็ถูกตำหนิ และมีผู้แนะนำว่า ถ้าปล่อยวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงก็จะเชียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะตีตื้นคงไม่ได้ จึงมีข่าวว่ามีการเรียกประชุมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและ กสทช. ใช้กฎหมายเก่าปี 2498 มาดำเนินการกับวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้บอกว่าวิทยุกระจายเสียง แต่บอกว่า “มีและใช้ตั้งวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต” หมายความว่าแม้แต่การใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือก็จับได้
ด้านนายจุติพงษ์ พุ่มมูล เลขาธิการสมาคมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมตัวแทนผู้ประกอบการวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง 13 สถานีที่ถูกปิด เข้ายื่นหนัง- สือต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และ สิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ตรวจสอบความถูกต้องและเป็นธรรมเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย โดยระบุว่า นอกจากมีการปิดสถานีวิทยุชุมชนบางแห่งที่มีใบขออนุญาตถูกต้องแล้ว ยังมีการปิดเว็บไซต์กว่า 2,000 เว็บไซต์ ถือเป็นการคุกคามสื่อและ 2 มาตรฐาน
ถอน-ยุบ-ยึด?
นายณัฐวุฒิกล่าวถึงการตรวจค้นวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง 13 แห่งว่า มองได้อย่างเดียวคือเป็นการปิดหูปิดตาประชาชน เป็นการเตรียมการปล้นประเทศครั้งใหญ่ จะเป็นการวางแผนทำรัฐประหารหรือไม่ เนื่องจากไม่มีเหตุอะไรที่ต้องปิดเวลานี้ วิทยุชุมชนมีจำนวนมาก แต่ทำไมเลือกปิดเฉพาะของคนเสื้อแดง หรือเป็นเพราะกลัวว่าวิทยุชุมชนจะเป็นกระบอกเสียงให้คนเสื้อแดง เพื่อกระจายข่าวให้คนต่อต้านการปฏิวัติ ซึ่งแกนนำ นปช. ได้มีมติเรียกร้องให้เจ้าของวิทยุชุมชนและผู้เกี่ยวข้องแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ขณะที่นายจตุพรตั้งข้อสังเกตว่า ขณะที่ชุดปฏิบัติหน้าที่บุกเข้าจับกุมนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่ ครม. อนุมัติงบลับให้ กอ.รมน. จำนวน 8,792 ล้านบาท เพื่อเตรียมการทำอะไรหรือไม่ ขณะที่กำลังมีการปลุกกระแสชาตินิยมให้ทำสงครามกับกัมพูชา การยึดวิทยุคนเสื้อแดงเพื่อจะยั่วยุให้คนเสื้อแดงออกมา จะได้ทำปฏิวัติใช่หรือไม่ หากเป็นจริงก็จะเกิดขึ้นภายใน 3 วันคือ วันที่ 30 เมษายน ถ้าเกิดการปฏิวัติจริงก็ขอให้ทุกคนออกมารวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ประชาชนตบเท้าแสดงพลัง
“หลังแกนนำคนเสื้อแดงปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ผบ.ทบ. ส่งลูกน้องไปแจ้งความดำเนินคดี จากนั้นมีทหารออกมาตบเท้าแสดงพลังกันไม่เว้นแต่ละวัน และยังมีการข่มขู่ คุกคาม นักวิชาการ นี่คือสัญญาณที่จะนำไปสู่ความรุนแรง เป็นการทำลายบรรยากาศก่อนมีการเลือกตั้ง”
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกองทัพ และแถลงว่า กลุ่มอิสระต่างๆที่เป็นเสรีชนและปัญญาชนในโลกไซเบอร์ ได้รวมตัวเพื่อรณรงค์ให้ยกเลิกประมวลกฎหมาย มาตรา 112 เพราะเห็นว่าถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างกันทางการเมือง ซึ่งพวกตนไม่มีอาวุธหรือกองกำลังจึงไม่สามารถตบเท้าแสดงพลังได้ แต่จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการเข้าชื่อ 10,000 ชื่อ เพื่อเสนอยกเลิกมาตรา 112 ต่อรัฐสภา เพราะเห็นว่าหากยังมีข้อกำหนดนี้ไว้ต่อไปจะก่อให้เกิดความแตกแยกขยายตัวไปอย่างไม่รู้จบ และเป็นช่องทางที่จะใช้ปลุกระดมด้วยวิธีการนอกระบบกับคนที่เห็นต่างทางการเมืองอีกด้วย
นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด ได้ประกาศที่จะจัดการชุมนุมภาคพลเมืองของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงอีกครั้ง เพื่อแสดงการตบเท้าของพลังประชาชน โดยจะมีการชูป้าย “หน้าที่ของทหารต้องปกป้องประชาชน” เพื่อเป็นการตอบโต้กรณีทหารออกมาแสดงพลังตบเท้าสนับสนุน ผบ.ทบ. ที่ออกมาข่มขู่ คุกคาม เสรีภาพของนักวิชาการและประชาชนกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ให้แก้ไขมาตรา 112 ซึ่งมีการนำมาทำลายกันทางการเมือง
นักวิชาการโต้ทหารตบเท้า
ด้านมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนก็ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “การคุกคามเสรีภาพในการแสดงความเห็น คือการคุกคามประชาธิปไตย” โดยเรียกร้องให้สังคมไทยร่วมกันปกป้องเสรีภาพในการแสดงความเห็น และร่วมกันแสดงการคัดค้านต่อบุคคล สถาบัน การกระทำ หรือกฎหมายใดๆก็ตามที่คุกคามต่อเสรีภาพการแสดงความเห็นตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้สังคมไทยสามารถก้าวเดินต่อไปบนพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยเฉกเช่นนานาอารยประเทศได้อย่างสันติและเสมอภาค
เพราะประจักษ์ชัดว่ามีการคุกคามต่อเสรีภาพในการแสดงความเห็นจากฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทั้งการใช้อำนาจนอกกฎหมายและอำนาจตามกฎหมายที่ปรากฏอย่างชัดแจ้งและแฝงเร้น ทำให้คนจำนวนมากต้องเผชิญกับการคุกคาม แม้แต่การถูกจับกุมคุมขังเมื่อมีการแสดงความเห็นออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการดำเนินการหลายรูปแบบเพื่อปิดปากประชาชนภายใต้ข้อกล่าวอ้างเรื่องความจงรักภักดี และการปกป้องสถาบัน รวมทั้งกรณีการเคลื่อนไหวของนายทหารบางกลุ่มในระยะนี้
“สังคมไทยพึงตระหนักว่ากฎหมายของไทยมิได้เปิดให้มีการใส่ร้ายป้ายสีต่อบุคคล หรือสถาบันใดๆได้อย่างเสรี ตรงกันข้ามมีกฎเกณฑ์และบทลงโทษอย่างรุนแรงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ทหารจะต้องออกมาสำแดงกำลังแม้แต่น้อย อนึ่ง ในฐานะหน่วยราชการ หน้าที่หลักขององค์กรทหารย่อมอยู่ที่การปกป้องอธิปไตยของชาติ สถาบันทหารควรหลีกเลี่ยงจากการกระทำใดๆที่เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงบทบาทในทางการเมือง เพื่อป้องกันการนำสถาบันทหารเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ของบุคคล หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด”
อ้างเจ้า-ล้มแดง-ยุบเพื่อไทย?
การออกมาตบเท้าของกองทัพโดยอ้างเพื่อแสดงการปกป้องสถาบัน ขณะที่กำลังจะมีการยุบสภาและการเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน กอ.รมน. ก็อ้างส่งทหารลงพื้นที่ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการเลือกตั้ง และเผยแพร่การเทิดทูนสถาบัน แต่อีกด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มตรวจ ค้นและดำเนินคดีกับวิทยุชุมชน เว็บไซต์ของคนเสื้อแดง ซึ่งก็อ้างเรื่องสถาบันเช่นกัน
จึงมีคำถามว่าฝ่ายใดที่กำลังอ้างความจงรักภักดีมาจัดการกับฝ่ายที่มีความเห็นแตกต่าง ทั้งที่ทุกคนทุกฝ่าย โดยเฉพาะคนเสื้อแดงและแกนนำ นปช. ประกาศยืนยันมาตลอดว่าต้องการระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้แต่การให้สัมภาษณ์ล่าสุดผ่านสื่อต่างประเทศที่มีผู้แทนทูตและนักวิชาการนับร้อยร่วมรับฟัง
การเคลื่อนไหวของกองทัพวันนี้จึงทำให้หลายฝ่าย เชื่อว่ามีคนบางกลุ่มที่พยายามใช้สถาบันหรืออ้างเจ้าเป็น เครื่องมือในการทำรัฐประหารอีกครั้ง เพื่อทำลายคนเสื้อ แดงและใช้เป็นเงื่อนไขยุบพรรคเพื่อไทย เหมือนครั้งที่กลุ่มคนเสื้อเหลือง กองทัพ และพรรคการเมืองบางพรรคนำสถาบันมาทำลายระบอบทักษิณ โดยกล่าวหาว่าหมิ่นเบื้องสูง นำไปสู่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
แม้มีการเลือกตั้งแต่ก็มีคำถามว่าจะบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ ถ้าผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยได้เสียงมากที่สุดจะตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ หรือถ้าพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้จะอยู่ได้นานหรือไม่ หรือหากมีการยุบพรรคเพื่อไทยหลังการยุบสภา สมาชิกพรรคเพื่อไทยก็หมดสิทธิที่จะสมัครรับเลือกตั้งเช่นกัน แม้จะตั้งพรรคเพื่อธรรมสำรองไว้ ก็ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองภายใน 30 วัน ก่อนการเลือกตั้ง
ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีการคาดการณ์ว่าแม้แต่หลังการยุบสภาก็อาจเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจนไม่มีการเลือกตั้ง และต้องใช้มาตรา 7 เพื่อตั้งรัฐบาล หรือไม่ว่าจะเป็นการลาออกของกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จนไม่สามารถทำหน้าที่ได้นั้นก็ยังมีความเป็นไปได้ หรือเกิดความวุ่นวายจน กกต. ไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้ง ได้ ซึ่งการ “อ้างสถาบันหรืออ้างเจ้า” เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขทางการเมืองเป็นไปได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพื่อทำลายคนเสื้อแดงและยุบพรรคเพื่อไทยล้างระบอบทักษิณให้สิ้นซาก
หรือสุดท้ายเราจะกลับสู่วงจรอุบาทว์คือ “รัฐ ประหาร” อีกครั้ง!!
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...นอกจากประเทศไทยมี “พระสยามเทวาธิราช” คอยปกป้องคุ้มครอง “คนดี” อยู่คู่บ้านคู่เมืองแล้ว
เรายังมี “การรัฐประหาร” อยู่ยงคงกระพันคู่บ้านนี้เมืองนี้ไปอีกนานแสนนาน...
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 308 วันที่ 30 เมษายน – 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน | |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น