|
หมายเหตุ - นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทยร่วมสนทนา "กาแฟปฏิรูป" กับนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ "บ.ก.ลายจุด" ที่ห้องสมุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำการพรรคเพื่อไทย (พท.) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ซึ่งเป็นการสนทนาถึงแนวทางปฏิรูปพรรคการเมือง มีสาระสำคัญดังนี้
นายภูมิธรรม : ผมได้แสดงท่าทีในทวิตเตอร์ให้ความคิดนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อยากให้ความฝันนายอลงกรณ์ประสบความสำเร็จ ถ้าประชาธิปัตย์ปฏิรูปพรรคได้จริง เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น หันมาสนใจการเมืองที่มีสาระ มีเรื่องนโยบายการทำงานที่สร้างสรรค์ ผมคิดว่าโดยรวมประชาธิปไตยประเทศไทยจะได้ประโยชน์ เมื่อนายสมบัตินัดจิบกาแฟ ผมก็ดีใจ ก็ยินดี จริงๆ ไม่ได้กังวลใจ เป็นเรื่องปกติ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของประชาชน ยินดีพร้อมรับการตรวจสอบ ทั้งนี้ จะพูดเรื่องปฏิรูปพรรคเพื่อไทยจะไม่เข้าใจสาระการเมืองและปัญหาประชาธิปไตย แต่ต้องพูดปมปัญหาที่ทำให้พรรคการเมืองเกิดปัญหาด้วย
ถ้าพูดปฏิรูปพรรค ต้องพูดสภาพบรรยากาศการเมืองด้วย ถ้าจะเริ่มต้นการคุย ต้องยอมรับและเข้าใจว่าประเทศไทยมีปัญหาอุปสรรคโครงสร้างกลไกที่ขวางการเป็นประชาธิปไตย ถ้าฟันธงง่ายๆ คิดว่ารัฐธรรมนูญ 2550 เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตย กฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบันเป็นอุปสรรคทำให้พรรคการเมืองเติบโตไดยาก ถ้าประชาชนไม่ออกมา การบีบคั้นให้พรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตยก็เป็นได้ยาก
วันนี้โครงสร้างพรรคเพื่อไทย แม้ตัวนายกรัฐมนตรี ปาร์ตี้ลิสต์หมายเลข 1 ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ถ้าพูดจากความจริง เราเป็นพรรคที่เติบโตมาจากพรรคไทยรักไทย 15 ปีแล้ว เป็น 15 ปี ที่ถูกยุบพรรค ทำให้แกนนำพรรคถูกตัดสิทธิคนละ 5 ปี 2 รอบ และมีข่าวจะมีรอบที่ 3 อีก ผมเพิ่งพ้นโทษมา เหมือนพรรคจริงๆ เล่นๆ ไม่เหมือนประชาธิปไตยตามที่ต่างๆ แต่กรรมการบริหารพรรคก็มีความรู้ความสามารถ ดังนั้น วันนี้ต้องอยู่รอดภายใต้ประชาธิปไตยที่พิกลพิการ กลไกขัดขวางประชาธิปไตยยังทำหน้าที่อยู่
เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.) หลายเรื่องมีการปฏิบัติไม่ตรงตามกฎหมาย ถ้าเกิดกับพรรคเพื่อไทยก็ถูกยุบพรรคไปแล้ว แม้ผมถูกตัดสิทธิ 5 ปี ผิดหรือไม่ผิดยังไม่รู้ ตอนเหตุการณ์ที่คาดว่าจะผิดก็ยังไม่มีกฎหมายยุบพรรค ก็สามารถสร้างกติกามาตัดสิทธิได้
พวกผมถูกตัดสิทธิ เรื่องในโลกประชาธิปไตยทันสมัยไม่เป็นกัน ถ้าอยากพัฒนาพรรคการเมืองต้องปลดกติกาให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น วันนี้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยส่วนร่วมประชาชนกับอุดมการณ์อนุรักษนิยมที่อยากเห็นโครงสร้างเดิม หรือพูดสวยหรูเป็นประชาธิปไตยภายใต้คนดีต้องการการชี้นำ ต้องให้สังคมร่วมถกเถียงว่า เราต้องการประชาธิปไตยแบบไหนกันแน่
วันนี้อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง อย่างหน้ากากขาวแสดงความเห็นได้เต็มที่ ยังไม่ทันเปิดหน้ากากก็บอกว่าเชิญทหารมาปฏิวัติก็ไม่ได้แล้ว
เราประคับประคองพรรคเพื่อไทยให้อยู่ได้ จริงๆ การทำพรรคมวลชน หรือพรรคมีประชาชนส่วนใหญ่ คิดว่าไม่ได้เป็นอย่างที่นายอลงกรณ์คิดว่าเป็นพรรคเถ้าแก่ พรรคบริษัทจำกัดมหาชน จริงๆ เราคิดไพรมารี่โหวตก่อนนายอลงกรณ์คิดมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย เรามีสมาชิกพรรค 14 ล้านคน แต่วันนี้เหลือ 3 หมื่นคน การจะเอาคนมาเป็นสมาชิกพรรคก็ยากมาก กลไกไม่พัฒนาให้เป็นพรรคมหาชนได้ง่ายๆ
นายสมบัติ : บริบททางการเมืองไม่เอื้อให้พรรคการเมืองพัฒนาตัวเองได้ แต่คำถามแม้ภายใต้ข้อจำกัดดังกล่าวการปฏิรูปเกิดขึ้นไม่ได้เลยหรือ ให้มองสภาพการณ์ของพรรคภายในที่พอแก้ไขได้ที่อยากจะเห็นรัฐธรรมนูญอกกันไปจะแก้ไข แม้รัฐธรรมนูญและบรรยากาศแบบนี้พรรคเพื่อไทยมีการขับเคลื่อนจะทำอะไร
นายภูมิธรรม : ถ้าดูโครงสร้างพรรคเพื่อไทยขณะนี้ไม่ใช่อย่างที่หลายคนมองจากภายนอก เรื่องคนคนเดียว ผมคิดว่าไม่ใช่ พรรคเพื่อไทยไม่เคยปิดกั้นการยอมรับจากผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุคลาการบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทยก็มีบทบาท ไม่ปฏิเสธว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย ดังนั้น การหาเสียงเลือกตั้งคิดชัดเจนว่า "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"
ดังนั้น เรื่องโครงสร้างพรรคมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เป็นผู้รวมบุคลากรทางการเมืองช่วยมองทิศทางการทำงานการเมืองของพรรค มีคณะกรรมการประสานภารกิจ มีผู้บริหารพรรคจาก 19 โซน ซึ่งประธานโซน 19 โซน มาจากรัฐมนตรี เพื่อให้นักการเมืองภายใต้ 19 โซน ได้ดูแลบริหารจัดการกัน คณะกรรมการยุทธศาสตร์จะประชุมในวาระที่มีเรื่องสำคัญทางการเมือง ส่วนการประชุมคณะกรรมการประสานภารกิจเป็นการประชุมระหว่างคณะกรรมการยุทธศาสตร์
ดังนั้น ข้อคิดเห็นเชิงยุทธศาสตร์และแนวนโยบายของพรรคการเมืองจะถูกถ่ายทอดลงสู่กรรมการโซน ถ้าเห็นด้วยก็คุยเรื่องรายละเอียด และประชุม ส.ส.พรรค ซึ่งผ่านการประชุมถกเถียงในแต่ละโซน และไม่เคยตื่นเต้นเมื่อที่ประชุม ส.ส.วิจารณ์แต่รู้สึกปกติในระบอบประชาธิปไตย
ผมเข้ามาฟื้นพรรคเพื่อให้ทุกคนเป็นสมาชิก กฎเกณฑ์กติกาไม่สามารถทำให้ผมสมัครสมาชิกพรรคได้ง่าย ผมก็ให้จัดตั้งหน่วยอาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย ให้คุยพี่น้องประชาชนไม่ต้องมีบัตรสมาชิก แต่เป็นสมาชิกอาสาพัฒนาประชาธิปไตย ผมยกตัวอย่าง ปิดสมัยประชุมรัฐสภา ถ้าเป็นพรรคการเมืองไม่ปฏิรูปทุกคนก็หยุด วันนี้เราชี้แนะเสนอไปว่า ส.ส.มีหน้าที่ลงไปหาประชาชน พรรคจัดรายการ พรรคเพื่อไทยพบประชาชน คือการรายงานประชาชนว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรบ้าง
นายสมบัติ : ทำไมเวลา ส.ส.พบปะชาวบ้านอยู่ไม่กี่งาน ไม่มีกระบวนการสร้างนโยบายจากข้างล่างขึ้นมา ทำให้ไปเพียงได้แต่งานบวชเท่านั้น
นายภูมิธรรม : ต้องทบทวนตัวเอง ประชาสัมพันธ์ได้ไม่มากพอ ตั้งแต่เป็นไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงเพื่อไทย ทำให้พรรคการเมืองพูดถึงปฏิรูปพรรคการเมืองมีสาระแข่งขันต่อสู้ทางนโยบาย เราใช้กลไก ส.ส.ที่แนบแน่นกับประชาชน รู้ดีว่าประชาชนมีปัญหาอะไร ที่ประชุม ส.ส.จะมาสะท้อนว่านโยบายเรื่องนี้มีปัญหา ประชาชนไม่เข้าใจ
นายสมบัติ : นายอลงกรณ์เสนอในพรรคประชาธิปัตย์ให้มีสถาบันนโยบาย แทนที่จะผ่านกลไกบุคลากร เลือกตั้งก็เตรียมการไว้ก่อน ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยทำนโยบายใหญ่ๆ แต่มีนโยบายเล็กๆ น้อยๆ ไม่สามารถปรากฏในการเลือกตั้ง
นายภูมิธรรม : ไม่ได้คิดนโยบายเรื่องการเลือกตั้ง แต่คิดเพื่อสังคมจะต้องแก้ไขอะไร ตอนทำพรรคไทยรักไทย ผมออกหนังสือเล่มหนึ่งทำให้พรรคเป็นสถาบัน ไพรมารี่โหวตก็พูดมาก่อน ในช่วงปลายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เตรียมซื้อที่ดินที่แยกหลักสี่ ทำเป็นหอพักให้ ส.ส.มีที่พัก เป็นศูนย์ฝึกอบรมพัฒนา เพื่อสร้างเครือข่ายประชาชนทุกมิติ แต่ทุกอย่างพังทลายไปหมด และจะสร้างสถาบันทางวิชาการ แต่ปฏิวัติ อุปกรณ์ หนังสือถูกยึดหมด ผมต้องทำทุกอย่างคู่ขนานกันไป พรรคการเมืองมีหน้าที่สนับสนุนรัฐบาล
นายสมบัติ : เวลาพูดถึงการเมืองเฉพาะหน้านัวเนีย พอฟังนายอลงกรณ์เสนอ พรรคการเมืองไม่มองเรื่องสำคัญปฏิรูปพรรคการเมือง
นายภูมิธรรม : มีหลายเรื่องที่ไม่ออกหน้าสื่อ แต่สื่อสนใจบางเรื่อง บางเรื่องสื่อไม่สนใจรายงาน เรื่องนี้สำคัญมาก เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.) คณะกรรมการประสานภารกิจได้เสนอให้สำนักเลขาธิการพรรค เชิญกลุ่มประชาชนที่ประสบปัญหาทุกด้านมาพูดคุยในสถานะของพรรค บรรยากาศจะลดการเผชิญหน้าน้อยลง พอประชาชนไปเจอรัฐบาลผู้ปฏิบัติก็ยากลำบาก เขายกตัวอย่าง ยังไม่ได้สรุป เช่น กลุ่มหมอ กลุ่มพีมูฟ (กลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม) กลุ่มประชาชนต่างๆ ซึ่งพรรคน่าจะสร้างโฟกัสกรุ๊ป ถ้ามีบรรยากาศที่เราได้คุย และเห็นว่าผมได้สัมพันธ์กับกลุ่มต่างๆ ได้บ้าง ในฐานะเป็นแม่บ้าน เราต้องทำหน้าที่และเชื่อมกับรัฐบาล สำนักเลขาธิการพรรคก็รับงานมา จึงบอกทีมงานให้คิดให้คุยกับกลุ่มหมอ กลุ่มพีมูฟ คุยโดยอาจจะคุยไม่ใช่ความต้องการเราฝ่ายเดียว เพราะบางทีไม่อยากคุยต่อหน้าสื่อ อยู่ที่ความสบายใจของคู่สนทนา แต่ปัญหาเราต้องการสื่อให้ตรงกันว่าปัญหาอยู่ตรงไหน และพูดด้วยว่าการใช้สื่อทันสมัยเราคิดน้อยไป จึงรับว่ายังอ่อนอยู่ สมัยก่อนกลไกที่ผมใช้มากที่สุด ที่ประชุมพรรคก็เห็นชอบ ถ้าสื่อสารกับคน 14 ล้านคนได้ดีจะเป็นตัวแปรสะท้อนขึ้นสะท้อนลงได้ดี ผมเข้ามาจึงเร่งขยายฐาน
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น