วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เอกยุทธ อัญชันบุตร ดินที่ถูกปั้นให้เป็นดาวแล้วก็กลายเป็นธุลี



         


          ลองอ่านดูประวัติเอกยุทธ์ เราจะเห็นได้ว่า เขาไม่ได้มีฝีมือความเก่งในด้านธุรกิจ หรือ ตลาดหุ้นอะไรเลย ก็แค่พวกต้มตุ๋นเท่านั้นเอง 

คนตายแล้วเราอาจให้อโหสิกรรมได้ แต่การกระทำของเขาเราย่อมพูดถึงเพื่อเตือนสติคนทั่วไปได้ ดังนั้นการให้ความรู้คนเกี่ยวกับการทำเลวของคน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีเป็นการเตือนสติ ไม่ให้ประชาชนลืมง่ายๆ กับการทำเหี้ยๆ ของคน


--------------------
เอกยุทธ อัญชันบุตร ดินที่ถูกปั้นให้เป็นดาวแล้วก็กลายเป็นธุลี


          เรื่องเอกยุทธ อัญชันบุตร นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาหลายปีพอสมควร เมื่อครั้งสมัยแชร์ชาร์เตอร์นั้น ก็เป็นครั้งที่ทุกคนพากันงงงวยว่า คนชื่อเอกยุทธ นั้นเริ่มต้น มาอย่างไร? และมีฤทธิ์เดชหรืออิทธิฤทธิ์ประการใด ถึงสามารถหมุนเงินได้ถึงพันกว่าล้านบาท เพียงแค่อายุ 29 ปีเท่านั้น

        เรื่องของเอกยุทธนั้น เป็นอีกบทเรียนหนึ่ง ให้เห็นถึงช่องว่างของสังคมไทย ที่มี และชี้ให้เห็นถึงความไม่มีจรรยาบรรณของคนไทย ทั้งผู้ใหญ่หัวหงอกและเด็กหัวดำๆ ในด้านธุรกิจ ตลอดจนความโลภของมนุษย์ซึ่งเป็นสันดาน และเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เกิด เรื่องชาร์เตอร์ เลยไปถึงความไม่เอาถ่านของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย

เอกยุทธ อัญชันบุตร และสหายเป็นเพียงรูปธรรมหนึ่ง ในอีกมากมาย ที่เกิดขึ้นในยุคของสังคมที่มองไม่เห็นอนาคตของประเทศนี้

"ถ้าคนไทยยอมรับสภาพให้คนหนุ่มที่มีความ รู้ความสามารถเข้ามาบริหารเสียบ้างก็ดี... "

เอกยุทธ อัญชันบุตร ให้สัมภาษณ์นิตยสารไฮคลาส ฉบับเดือนธันวาคม 2527

29 ปี ถ้าเป็นต้นไม้ก็ต้องถือว่าอายุมากพอสมควร

ถ้าเป็นคนก็ต้องนับว่า น่าจะบวชเรียน มีครอบครัวได้แล้ว

แต่ถ้าเป็นการทำงานก็ต้องนับว่าวัยอยู่ในระหว่างการเริ่มต้น

สำหรับเอกยุทธ อัญชันบุตร นั้นในวัย 29 ปีก็ต้องยอมรับว่าสังคมไทยได้ให้โอกาสทำงานอย่างเต็มที่แล้ว

ในวัย 29 ปีของคนหนุ่มทั่วๆ ไปไม่ว่าจะมีการศึกษาสูงแค่ไหนก็ตามโอกาสที่จะได้จับเงินพันกว่าล้านบาทนั้นคงมีไม่กี่คน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินนั้นเป็นเงินของประชาชนทั้งหมด!

แต่เอกยุทธและสหายก็พลาดไปอีกเหมือนกับหลายๆ คนที่พลาดไปก่อน หน้านี้!

หรืออาจจะเป็นเพราะว่า เอกยุทธ และสหายต่างก็รู้ว่าจุดจบของตัวเอง จะต้องเป็น เช่นไรอยู่แล้ว แต่เรื่องข้างหน้าไม่สำคัญหรอกขอเล่นไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าพลาดก็พลาด ไปติดคุกไม่กี่ปีก็ออกมา

คนไทยเป็นคนลืมง่ายอยู่แล้ว ไม่กี่ปีหรอกเรื่องมันก็คงเงียบไป ถึงตอนนั้นขอให้มีเงินติดตัวเสียอย่าง เกียรติยศและศักดิ์ศรีมันก็เข้ามาเอง

เพราะสังคมไทยมันเป็นสังคมที่วัดค่านิยมกันที่ใครมีเงินเท่าไรอยู่แล้ว คุณงาม ความดีนั้นไม่มีใครเขาพูดกันหรอก

เรื่องของเอกยุทธ อัญชันบุตร และสหายกับประชาชนจึงเกิดขึ้น !

เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างความโลภกับความฉลาดเฉลียวในการโกงประชาชนของคนกลุ่มหนึ่ง

เมื่อสังคมมีคนโลภอยากได้ผลประโยชน์มากๆ สังคมนั้นมันก็ต้องมีคนที่คิดหาวิธีให้ผลประโยชน์โดยไม่ยอมรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้น


เรื่องราวของเอกยุทธ อัญชันบุตร และสหายที่มาในนามของ "แชร์ชาร์เตอร์ " จึงไม่ใช่ของใหม่ในสังคมไทยและก็คงจะไม่ใช่รายสุดท้ายเช่นกัน ตราบใดที่สังคมเรายังคงเป็นสังคมคนกินคนและสังคมที่เทิดทูนผลประโยชน์อยู่เหนือสิ่งอื่นใด

ทศวรรษนี้เป็นยุคที่สร้างคนหนุ่มหลายคนให้เกิดขึ้นในวงการธุรกิจระดับต่างๆ มากหน้าหลายตา ภาวะการครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นตามดรรชนีรายได้ของผู้ผลิตรายใหญ่ เป็นตัวกำหนดให้ผู้ที่ไร้สวัสดิการจากรัฐดิ้นรนเพื่อแสวงหาเสาหลักแห่งชีวิตของตนเองด้วยกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด คนหนุ่มคนหนึ่งในวัยเพียง 29 ปีถีบทะยานตัวเองขึ้นมาอยู่บนผิววงการนักเล่นเงินระดับชาติได้ ด้วยความสามารถ และโอกาสอันน่าทึ่งสำหรับสายตาของนักธุรกิจระดับอาวุโสอีกหลายคน เขาถูกเฝ้าจับตามองเส้นทางเดินที่นับวันก็โลดแล่นไปข้างหน้าบนโค้งถนนธุรกิจการเงินและโครงการระดับใหญ่ที่ใช้ระบบบริหารระดับชาติ พร้อมกับความฉงนฉงายในที่มาและโอกาสที่ผู้แข่งขันอีกหลายๆ คนพลาด

คำถามนั้นคือ "เขาเป็นใคร? ก้าวมาจากไหน? "

       นิตยสารไฮคลาส ฉบับเดียวกัน  เอกยุทธ เป็นใครมาจากไหนนั้นเป็นเรื่องที่มีแนวทางหลายกระแส แต่โดยสรุปจากหลายๆ แห่งแล้ว ตระกูลเอกยุทธเป็นคนชั้นกลางที่ไม่ได้มีมรดกตกทอดหรือเกี่ยวดองกับบรรดาเจ้าสัว ใดๆ ทั้งสิ้น พ่อของเอกยุทธหรือร้อยตรีแปลก อัญชันบุตร ซึ่งเอกยุทธเคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นทหารคนสนิทของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

เอกยุทธจบแค่ ม.ศ.5 ธรรมดา แล้วก็ไปเรียนราม

       จากการที่ตัวเองเป็นคนมีบุคลิกดีและเข้าผู้หลักผู้ใหญ่เก่งก็มีข่าวว่าได้เข้าไปสนิทสนมกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นนักการเมือง เช่น ประยูร สุรนิวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชื่อพรรคชาติประชาธิปไตยของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์

        เอกยุทธเคยอ้างว่าช่วงนั้นตัวเองเป็นเลขาคณะกรรมาธิการงบประมาณที่ประยูร สุรนิวงศ์ เป็นประธาน แต่ประยูรเองกลับพูดว่า "ผมเป็นเพื่อนกับพ่อเขา เขาไม่ได้ทำอะไรให้หรอกนอกจากเวลาขาดเงินก็มาขอที 300 บาท 500 บาท ผมก็ให้มันไป พอรู้ว่า ตอนหลังนี้หมุนเงินเป็นพันล้านบาทผมเองก็ยังตกใจเลย " ประยูรพูดกับ "ผู้จัดกา " ที่สภาฯ เมื่อถูกถามถึงเรื่องเอกยุทธ

       จากคำพูดของเอกยุทธเอง "ตอนปี 21-22 ผมไปเรียนบริหารธุรกิจต่อที่เนบรัสก้า ตอนไปมีเงินอยู่ 1,000 กว่าเหรียญ แต่ก็ทำงานหาเงินตลอด ทำทุกอย่างตั้งแต่ขายไอศกรีมจนถึงทำงานกับนักธุรกิจเป็นการฝึกงานพวกบัญชี พอกลับเมืองไทยมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 100,000 บาท เจอ เพื่อนทำงานเป็นลูกจ้างคอมมอดิตี้ ผมถามว่าทำไมไม่ทำเอง เขาก็ว่าทำยาก ผมเลยลองศึกษาอยู่ 2-3 เดือน ลองไปเป็นลูกค้า พอศึกษาดูก็เห็นว่าไม่ยาก จะลองเปิดดู เปิดครั้งแรกที่ธนาคารเอเชีย ชื่ออินเวสเตอร์เป็นบริษัทที่ผมซื้อต่อเขามา 1 ล้าน เพราะกลุ่มบริหารเดิมเขาขัดแย้งกัน ผมลองเสี่ยงซื้อดู วันเจรจาซื้อผมไม่มีเงินเลยนะ ภายใน 7 วันจะต้องจ่าย 3 แสน ผมไม่รู้จะทำยังไงก็เลยจ่ายเช็คล่วงหน้า 7 วัน พอเข้าไปบริหารวันแรกก็เริ่มดึงคนรู้จักมาเป็นลูกค้า... "

        แต่ในวงการยืนยันว่าเอกยุทธมาเริ่มทำงานเป็นพนักงานขายคอมมอดิตี้ให้กับบริษัทแฮลเบอรี่ และก็วนเวียนอยู่ในวงการคอมมอดิตี้ (อ่านล้อมกรอบ "เอกยุทธ เริ่มจากจุดนี้ ")

ชะตาชีวิตในวงการคอมมอดิตี้ทำให้เอกยุทธได้เข้ามารู้จักมักจี่กับคนหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันอีกสองคนในวงการคอมมอดิตี้

       คนหนึ่งชื่อ อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต อายุ 26 ปี  อีกคนหนึ่งชื่อเสริมชีพ เจริญชน อายุ 26 ปี เช่นกัน  อภิชาตินั้นเป็นพ่อค้าขายเครื่องบินแต่พ่อมีหุ้นใหญ่ในกิจการคอมมอดิตี้แถวๆ โชคชัย ธุรกิจของตระกูลอภิชาตินั้น ทำพวกโรงงานอาหารสัตว์สยามโภคภัณฑ์แถวๆ บางแค พ่ออภิชาติเลยให้อภิชาติมาเป็นตัวแทนดูแล ส่วนเอกยุทธก็เข้ามาทำงานด้วย

        เสริมชีพ เจริญชน บ้านอยู่แถวๆ ซอยปิยะวัตร สุขุมวิท 48 จบวิทยาลัยกรุงเทพ คร่ำหวอดอยู่ในวงการคอมมอดิตี้พอสมควร ก็เข้ามาร่วมด้วย

      คนหนุ่มทั้งสามคนที่มีไหวพริบปฏิภาณสูง รวมทั้งคร่ำหวอดในวงการคอมมอดิตี้และมองเห็นว่าจุดอ่อนของคนคอมมอดิตี้คือ "ความโลภ " ประกอบกับวงการคอมมอดิตี้โดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่ต่างกว่าการพนันเท่าใด

       การล้มของคอมมอดิตี้โดยฝีมือของคนจีนใน ฮ่องกงที่เชิดเงินเป็นสิบๆ หรือร้อยๆ ล้านนั้นมันไม่ยากสำหรับคนหนุ่มสามคนนี้ที่จะมองเห็นหรอก เพียงแต่ว่าจังหวะมันไม่ให้และขาดบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้มันลงตัวเท่านั้นเอง

        เพิ่มศักดิ์ จริตงาม อายุ 53 ปี บ้านในกรุงเทพฯ อยู่แถวๆ ซอยพร้อมพรรณ ถนนประชาสงเคราะห์ ดินแดง  
       เพิ่มศักดิ์เป็นคนใต้ เมื่อไม่กี่ปีมานี้เขาเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัดพรรคประชาธิปัตย์เมื่อมีเลือกตั้งใหม่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเพิ่มศักดิ์สังกัดพรรคชาติประชาธิปไตยของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลงเลือกตั้งที่นครศรีธรรมราช แต่เพิ่มศักดิ์สอบตก  เผอิญเพิ่มศักดิ์ จริตงาม กับ ร.ต.แปลก อัญชันบุตร เป็นเพื่อนรักกันมาก่อน

เอกยุทธเรียกเพิ่มศักดิ์ว่า อาเพิ่ม

      และก็จากสายสัมพันธ์ระหว่างหลานเอกยุทธกับอาเพิ่มนี่แหละก็คือประตูทางการเมืองที่เปิดให้เอกยุทธได้เดินเข้าไปหานักการเมืองหลายคน  อาเพิ่มเป็นคนพาเอกยุทธเข้าพบหัวหน้าพรรคการเมืองคนหนึ่งซึ่งเห็นแววการค้าของเอกยุทธ และเมื่อฟังความคิดเรื่องการตั้งบริษัทคอมมอดิตี้แล้ว ก็ให้การสนับสนุนโดยให้ลูกพรรคที่เป็นรัฐมนตรีว่าการคนหนึ่งให้เอาเงินแม่ชม้อยมา 10 ล้านบาทให้เอกยุทธยืมเพื่อเริ่มกิจการ (เงินก้อนนี้รัฐมนตรีผู้นั้นเป็นคนค้ำประกันและเอกยุทธก็ได้คืนเงินก้อนนั้นไปเรียบร้อยแล้ว) และแล้วขบวนการสนองตัณหาคนโลภก็เริ่มขึ้นเมื่อกลางปี 2526 นี้เอง

       บริษัทชาร์เตอร์อินเวสเม้นท์ จำกัด ก็เปิดขึ้นอย่างโอ่อ่าโดยมีอดีตพลเอก นอกราชการเป็นประธานที่ปรึกษาซึ่งพิมพ์อยู่บนบัตรเชิญอย่างโก้หรู ทุกคนที่อยู่ในระ- ดับมังกรเหินฟ้าเข้ามาร่วมสำนักกันหมด ตั้งแต่เอกยุทธ อัญชันบุตร เพิ่มศักดิ์ จริตงาม อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต เสริมชีพ เจริญชน และอัครเดช อัญชันบุตร ผู้เป็นน้องชายเอกยุทธ

       ขบวนการนี้เดิมทีแรกเริ่มได้มือค้าคอมมอดิตี้ ตัวฉกาจในวงการเป็นผู้หญิงชื่อระพีพรรณ พรหมนิตย์ เข้ามาร่วมด้วยโดยให้เป็นกรรมการ (แต่ระพีพรรณ พรหมนิตย์ ลาออกจากกรรมการ หลังจากที่ชาร์เตอร์อินเวสเม้นท์ ได้เปลี่ยนเข็มจากคอมมอดิตี้มาเล่นแชร์แทน)

       สิบล้านบาทที่เป็นเงินยืมจากแม่ชม้อย โครงการค้ำประกันของรัฐมนตรีว่าการของพรรคการเมืองแห่งหนึ่งคือทุนจดทะเบียนที่ขบวนการมังกรเหินฟ้านี้เริ่ม โดย มีเอกยุทธ อัญชันบุตร เป็นผู้มีอำนาจในการเซ็นเช็คแต่ผู้เดียว

       จะเป็นโชคของเอกยุทธ หรือเป็นกรรมของกนกวรรณ พุ่มสำเนียง หรือคุณนายแดงก็ไม่สามารถจะตัดสินได้ที่ทั้งคู่เกิดถูกชะตากันอย่างมากๆ "คุณนายแดงเป็น ลูกค้าเล่นคอมมอดิตี้รายใหญ่ของเอกยุทธมา 7- 8 ปีแล้ว สมัยเมื่อเอกยุทธยังเป็นเซลส์ ขายคอมมอดิตี้และเอกยุทธมักจะเรียกให้ทุกคนได้ยินว่า แม่แดง " คนเก่าแก่ในวงการ คอมมอดิตี้พูดให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
       นอกจากนั้นแล้ว แม่แดงของเอกยุทธยังเป็นหัวหน้าสายของแม่ชม้อยอีกด้วย!  แม่แดงเลยเป็นคนผันเงินลูกสายมาเล่นแชร์ชาร์เตอร์!

       ตั้งแต่กลางปี 2526 เป็นต้นมาธุรกิจเงินทุนกำลังประสบภาวการณ์ซวดเซ แต่ธุรกิจเงินนอกระบบเช่น ชม้อยหรือนกแก้ว กลับดีวันดีคืน

          "จุดจุดหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างมันกู่ไม่กลับคือความแข็งแกร่งของชม้อย อาจจะเป็น เพราะว่า ประการแรก ประชาชนที่มีเงินเล่นแชร์ คิดว่าถ้าบริษัทเงินทุนล้มแต่ชม้อย ไม่ล้ม ก็คงจะเชื่อได้ และประการต่อมาความลี้ลับซับซ้อนของแชร์ชม้อยทำให้คนคาดการณ์ไปต่างๆ นานา ว่าชม้อยคงมีธุรกิจอภิสิทธิ์หลายอย่างที่ทำรายได้ให้ดีมากๆ จนสามารถจะให้ดอกเบี้ยสูงๆ " แหล่งข่าวในธนาคารชาติออกความเห็น

         การประโคมข่าวของหนังสือพิมพ์ก็หาได้สั่นสะเทือนธุรกิจแชร์ไม่ จนในที่สุดมันเกือบจะเป็นความเชื่อมั่นไปโดยปริยายแล้วว่า เล่นแชร์ได้เงินดีกว่าและมั่นคงกว่าเอาเงินไปหาดอกหาผลจากระบบการเงินในระบบเสียอีก

        จากเจตนาที่จะตั้งบริษัทมาเพื่อเล่นคอมมอดิตี้ ขบวนการมังกรเหินฟ้าชุดนี้เริ่มเห็นแล้วว่า ขุมทองมันมีอยู่มากกว่าคอมมอดิตี้ มันเพียงแต่รอให้เข้าไปขุดและการขุดก็ไม่ยากเย็นอะไรเพียงใช้เครื่องมือที่เรียกว่า "ผลประโยชน์ " เข้าไปล่อเท่านั้นเอง

       จากวันที่ขบวนการมังกรเหินฟ้าเห็นสัจธรรมระหว่าง "ผลประโยชน์ " กับ "ความโลภ " เท่านั้น เงินตราต่างๆ ก็เข้าแถวเดินหน้าเข้าไปหาบริษัทชาร์เตอร์อินเวสเม้นท์อย่างชนิดที่เรียกว่า ก้มหน้านับเงินกันไม่ทัน

       10 ล้านบาทที่เอามาจากชม้อยเมื่อไม่กี่เดือนมานั้นกลายเป็นเศษเงินที่คืนไปได้ทันทีอย่างไม่สะดุ้งสะเทือน

       สำหรับคนหนุ่มๆ ในวัยไม่ถึง 30 อย่างเช่น เอกยุทธ อัญชันบุตร, เสริมชีพ เจริญชน, อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต, อัครเดช อัญชันบุตร และผู้ร่วมอีก 2-3 คน มันเป็น ช่วงความสุขในชีวิตที่คนหนุ่มทุกคนใฝ่ฝันหา

       จากที่เคยยืมเงินประยูร สุรนิวงศ์ ใช้ 300 บาท 500 บาทบ้าง เอกยุทธไม่รู้จักความลำบากอีกต่อไปแล้ว รถพอร์ชคันละเป็นล้านๆ แล่นกันฉวัดเฉวียนโดยมีคนขับชื่อเอกยุทธ ชื่อเสริมชีพ ชื่ออภิชาติ ขบวนการมังกรที่มีประชาชนที่โลภเข้ามาอุปถัมภ์พวกเขาได้ใช้เงินกันอย่างสนุกมือและสบายใจที่ไม่ใช่เงินของตัวเอง

      ตามสถานที่โก้หรูจะเจอคนกลุ่มนี้ประกวดประชันกันด้วยรถสปอร์ตแรงม้าสูงที่วิ่งโฉบเฉี่ยวไปให้ผู้หญิงมองกันตาละห้อย ให้ไอ้หนุ่มทั้งหลายพากันอิจฉาตาร้อนว่าไอ้พวกนี้ทำบุญกันมาแต่ปางไหนถึงมีพ่อแม่รวยนักรวยหนา

      ต้นปี 2527 ขณะที่วงการไฟแนนซ์กำลังวุ่นวายปั่นป่วนกันขนาดหนัก คนที่เคยใหญ่คับฟ้าก็ต้องมาล้มคว่ำอย่างไม่เข้าท่าก็หลายคน แต่ที่ชาร์เตอร์อินเตอร์เรคชั่น (เปลี่ยนจากชาร์เตอร์อินเวสเม้นท์เพราะธนาคารชาติห้ามบริษัทที่ไม่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการเงินทุนเรียกตัวเองในชื่อต่างๆ ที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและคำว่า "อินเวสเม้นท์ " ก็อยู่ในข่ายนั้นด้วย ก็ต้องเปลี่ยนจากชาร์เตอร์อินเวสเม้นท์เป็นชาร์-เตอร์อินเตอร์เรคชั่น) แต่สำหรับวงการแชร์นั้นกลับเจริญงอกงามมีแต่คนเอาเงินเข้ามาลงทุนกันเป็นแถว

       "คุณต้องเข้าใจว่าถึงปี 2527 แล้วถึงแม้รัฐบาลจะพยายามออกข่าวห้ามเล่นแชร์ตลอดจนหนังสือพิมพ์พยายามตีพวกนี้อย่างหนักก็ตาม แต่มันก็ไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย เพราะดอกเบี้ยก็ยังจ่ายตามปกติและข่าวนี้มันสะพัดไปถึงต่างจังหวัดและก็ลงไปถึงประชาชนทั่วไปเสียแล้ว " เจ้าหน้าที่ธนาคารชาติคนเดิมให้ความเห็นต่อไป  หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเศรษฐกิจบ้านเราในปีสองปีที่ผ่านมาเลวร้ายมาก ทำให้คนชั้นกลางมีรายได้ไม่พอจ่ายก็เลยต้องหาทางออกด้วยวิธีการเล่นแชร์ก็เป็นไปได้

ปริมาณเงินที่ลงในแชร์ต่าง ก็มีแต่จะเพิ่มพูน

สำหรับชาร์เตอร์แล้ว 2527 คือสวรรค์ในขุมนรกจริงๆ!

       ที่เป็นสวรรค ์เพราะว่าจากการที่ชม้อยให้ 6.5% แต่ชาร์เตอร์ 9% ในตอนแรกทำให้สายชม้อยหลายสายเอาเงินมาลงชาร์เตอร์แล้วได้กำไรฟรีๆ ไป 2.5% บวกกับคอมมิชชั่นจากชาร์เตอร์อีก 0.5% ทำให้ได้ 3%

       สำหรับสายบางสายที่รับมาครั้งละ 10 ล้านต่อเดือนก็ย่อมหมายถึงเงินลอยมา 3 แสนบาทต่อเดือน ส่วนคนที่รับมามากกว่านั้นจะได้สักแค่ไหนก็ลองคำนวณเอาง่ายๆ ก็แล้วกัน

        พีระมิดรูปเงินของชาร์เตอร์กำลังอยู่ในระดับกลางพีระมิด ที่เป็นรูปพีระมิดแต่ฐานอยู่ข้างบนและยอดแหลมพีระมิดอยู่ข้างล่าง

       ในช่วงมีนาคม 2527 เป็นต้นไปเผอิญเป็นช่วงที่ชม้อยเองกำลังถูกทางการเพ่งเล็งหนัก จึงมีอยู่ระยะหนึ่งที่ชม้อยหยุดรับเงินชั่วคราวเพื่อเตรียมตัวยักย้ายถ่ายเทและจัดภายในให้รัดกุมเสียก่อน และก็เป็นช่วงนี้เองแหละที่เงินเริ่มไหลเช้าชาร์เตอร์เหมือนทำนบเขื่อนกั้นน้ำแตกพังทลาย เอกยุทธและสหายก็คงจะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้ามีเงินมากๆ อยู่ในมือขนาดนั้นแล้วจะทำอะไรดี รถยนต์ราคาแพงๆ เอกยุทธก็มีแล้วตั้ง 34 คัน! บ้านก็มีหลายหลัง แฟนๆ ก็มีหลายคน

        บางคนเอกยุทธทั้งให้เงินเลี้ยงไว้ ให้รถใช้เล่นหนึ่งคัน เช่น คนชื่อ ชลธิรัตน์ หรือน้องมดของเอกยุทธ ซึ่งพักอยู่แฟลตลิเบอร์ตี้ สุขุมวิท 22 ที่ทุกๆ วันตอนสายๆ เธอจะออกมาทำผมที่ร้านชื่ออรวรรณ แล้วบ่ายๆ เธอก็ฉุยฉายกรีดกรายอยู่บนรถบีเอ็มดับบลิว 316 สีขาว หมายเลขทะเบียน 4 จ-2776 ที่เอกยุทธเอาเงินประชาชนซื้อให้เธอ  หรือผู้หญิงสองคนที่คนหนึ่งชื่ออรวินทร์ และอีกคนหนึ่งชื่อศศิกาญจน์ ที่เอกยุทธออกบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสให้เธอทั้งสองใช้กันอย่างสบอารมณ์เต็มที่ แล้วทุกเดือนเอกยุทธก็จะเซ็นเช็คซึ่งเป็นเงินของประชาชนจ่ายไป

       เงินก็มีใช้ไม่หมด!  มันก็มีถึงคราวจะต้องลงทุนแล้ว

       "ความจริงแล้วกุนซือจริงๆ ของเอกยุทธคือเพิ่มศักดิ์ จริตงาม ที่เป็นคนวางแผนให้มาตลอด แต่ตอนหลังนี้ก็เป็นอนุสรณ์ อัญชันบุต " คนวงในชาร์เตอร์เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
อนุสรณ์ อัญชันบุตร คือลูกพี่ลูกน้องของเอกยุทธ ซึ่งว่ากันว่าครั้งหนึ่งอนุสรณ์เคยแจ้งความจับพ่อเอกยุทธในฐานเขียนเช็คไม่มีเงินให้จำนวน 20,000 (สองหมื่นบาท) อนุสรณ์มาสนิทกับเอกยุทธในงานศพพ่อเอกยุทธ เมื่อสิงหาคม 2527 "เอกยุทธจะเซ็นเช็คไว้เป็นเล่มแล้วให้อนุสรณ์กรอกจำนวนเงินเพื่อเอาไปใช้จ่ายในด้านการซื้อทรัพย์สินเก็บเอาไว้ คนที่สบายขณะนี้คืออนุสรณ์ ตอนนี้หนีไปอยู่ออสเตรเลียแล้ว " คนวงในชาร์เตอร์เล่าต่อ

         การลงทุนก็มองในแง่ของทรัพย์สิน  แต่ระยะเวลามันให้พิจารณามีไม่มาก อะไรที่ใกล้มือเอาเข้ามาก่อน ก็ต้องคว้าไว้ก่อน ที่ดินชิ้นแรกที่เอกยุทธไปจับคือที่ดินแถวๆ อำเภอสารภี จังหวัดลำพูน ซึ่งเอกยุทธซื้อในราคา 11 ล้านบาท แต่ลงบัญชีว่า 22 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กำลังมีเรื่องฟ้องร้องอยู่ โดยทำเป็นโครงการชื่อสารภีวิลล่า  เอกยุทธเคยพูดถึงเรื่องที่แถวสารภีนี้ในหนังสือไฮคลาสว่า

       "ผมมีที่ดินริมดอย 30 ไร่ ประมาณ 100 ล้านบาท อยู่ถึงอำเภอสารภี ที่ทำเป็นสารภีวิลล่า 100 กว่าไร่ เกือบ 200 ล้านบาท... "

      ต่อจากนั้นเอกยุทธ และที่ปรึกษาได้ทราบว่าบริษัทไทยเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งประมูลที่รถไฟตรงมักกะสันได้กำลังมีปัญหาเรื่องการเงินก็เลยเข้าไปซื้อหุ้นส่วนใหญ่โดยซื้อเงินสด 48 ล้านบาท ใช้ธนาคารกรุงเทพแถวสุขุมวิทค้ำอยู่ 18 ล้านบาท

       "โครงการมักกะสันคอมเพล็กซ์นี้ความจริงเอกยุทธคิดว่าถ้าได้เงินนอกมา สนับสนุนเขาคงไปรอดและเขาตั้งใจจะเอากำไรโครงการนี้มาคืนเงินคนเล่นแชร์ ในที่สุด เขาก็จะมีเงินเป็นพันล้าน โดยตัวเองไม่มีอะไรมาเลย และทุกคนก็จะมีความสุขและเขาก็จะกลายเป็นวีรบุรุษไป " คนวงในชาร์เตอร์พยายามชี้ให้เห็นถึงความในใจจริงๆ ของ เอกยุทธ

         ในขณะเดียวกันเอกยุทธก็เอาเงินไปซื้อที่แถวพัทยาตรงทางไปหาดจอมเทียน อยู่ใกล้โรงแรมเอเชียพัทยา โดยทำเป็นคอนโดมิเนียมชื่อพัทยาเพลซ คอนโดมิเนียม เป็นเนื้อที่ 10 กว่าไร่ และสร้างไปแล้ว 7 ชั้น

        ทรัพย์สินชิ้นต่อไปที่เอกยุทธเอาเงินประชาชนไปซื้อคือบริษัท เร่งพัฒนาประกันภัย จำกัด โดยซื้อในราคา 105 ล้านบาท "ความจริงเจ้าของเขาตั้งไว้ 105 ล้าน แต่ถ้าต่อสัก 85 ล้านเขาก็ขายแล้ว เอกยุทธไม่ต่อสักคำ " คนเก่าชาร์เตอร์พูด

       ก็น่าจะต่อได้เพราะตัวตึกและที่ดินทั้งหมด 555 ตารางวา ราคาประมาณ 45 ล้านบาท ใบอนุญาตประมาณ 25 ล้านบาท ก็เป็น 70 ล้านบาท บริษัทเร่งพัฒนาประกันภัยนั้น เมื่อสิ้นปี 2526 ขาดทุนสุทธิประมาณ 2 ล้านบาท และมีขาดทุนสะสมทั้งสิ้นเกือบ 6 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 94.43 บาท บริษัทนี้ถ้าขายในราคา 85 ล้านบาท ก็ยังนับว่าแพง เพราะเบี้ยประกันรับสุทธิในปี 2526 เพียงแค่ 10 ล้านบาทเท่านั้น แต่มูลค่าอาคารและที่ดินที่ลงบัญชีไว้เพียงประมาณ 22 ล้านบาทเท่านั้น ฉะนั้นการขายใน ราคา 85 ล้านบาทก็เรียกได้ว่าเจ้าของเดิมกำไรประมาณ 3 เท่าตัวได้ แต่ก็นั่นแหละสำหรับเอกยุทธแล้ว เงิน 105 ล้านบาท เขาสามารถหามันได้ในเวลาไม่ถึงเดือนเสียด้วยซ้ำ

        และหลังจากมีเรื่องแชร์ชาร์เตอร์ ผู้บริหารของเร่งพัฒนาก็ออกมาบอกว่าพวกเอกยุทธไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้น สั่งปลดออกจากกรรมการหมด ซึ่งข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า คนทั้งหมดที่ถือหุ้นถ้าไม่ใช่ตระกูลของเอกยุทธแล้วก็เป็นคนถือแทนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเร่งพัฒนาประกันภัยคือบริษัทประกันภัยของประชาชนที่เอาเงินมาลงในชาร์เตอร์อย่างเต็มที่

      ในช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2527 เป็นช่วงที่เงินเข้าชาร์เตอร์ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 200-300 ล้านบาท และก็เป็นช่วงนี้แหละที่เสริมชีพ เจริญชน เริ่มปลีกตัวออกห่างจากเอกยุทธ อัญชันบุตร และสหาย "ที่เสริมชีพเริ่มแยกตัวออกไปนั้น เป็นเพราะว่าการแบ่งสันปันส่วนของกลุ่มเอกยุทธนั้นมาถึงเสริมชีพน้อยมาก ทั้งๆ ที่เสริมชีพเองเป็นคนทำงานให้เอกยุทธจริงๆ รวมทั้งการวางแผนในครั้งแรกสุด " คนเก่าชาร์เตอร์พูดต่อ

        ในเมื่อมีชาร์เตอร์ได้ก็ต้องมีอันอื่นได้ ประชาชนไม่สนใจแล้วในตอนนั้นว่าจะเป็นชาร์เตอร์ ชม้อย นกแก้ว หรืออะไรก็ตาม ในช่วงนั้นชาร์เตอร์เริ่มลดดอกจาก 9% มาเป็น 8% และก็ 7% ในที่สุด เสริมชีพก็ได้แยกตัวออกมาตั้งแต่บริษัทแชร์แห่งใหม่ชื่อเสริมกิจอินเตอร์ ซินดิเคชั่น โดยดึงเอาหัวหน้าสายชาร์เตอร์คนสำคัญคือคุณนายแดงหรือกนกวรรณ พุ่มสำเนียง เป็นคนหาเงินลูกสายมาให้ เสริมกิจอินเตอร์ซินดิเคชั่นก็เริ่มด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท โดยมีเสริมชีพ เจริญชน เป็นผู้มีอำนาจแต่ผู้เดียว และที่ตั้งของเสริมกิจฯ ก็อยู่ตึกเดียวกับชาร์เตอร์คืออาคารสยามธนาการ ซอยอโศก

        หนึ่งในผู้ถือหุ้นของเสริมกิจฯ คือวรรณี หาญวารี ภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนของเสริมชีพ ที่อดีตเคยเป็นประชาสัมพันธ์อยู่เดอะมอลล์ แล้วเสริมชีพไปพบเข้าก็ชวนไปทำงานโดยเริ่มเป็นเลขาของเอกยุทธ อัญชันบุตร และต่อมาก็มาอยู่กับเสริมชีพ  วรรณี หาญวารี ทำหน้าที่เป็นตัวแทนไปรับเงินจากลูกสายมาเข้าบัญชีเสริมกิจฯ อยู่เป็นจำนวนมาก

          ในช่วงปลายปี 2527 เป็นช่วงที่เอกยุทธ อัญชันบุตร เพิ่มศักดิ์ จริตงาม อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต เสริมชีพ เจริญชน มันมือกับการเล่นเงินของประชาชนอย่างมากๆ โดยไม่มีใครสนใจเลยว่าจุดจบมันจะเป็นอย่างไร? เพราะมันเป็นสวรรค์ในนรกจริงๆ

       และนรกนั้นมันก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!

      จากความเป็นหนุ่มทั้งกลุ่มยกเว้นเพิ่มศักดิ์ การลงทุนทางด้านการบันเทิงก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่กลุ่มนี้จับตามองอย่างเขม็งมานาน ซุปเปอร์สเก็ตข้างๆ ปาป้าฯ ฝั่งธน ก็เกิดขึ้นโดยการเช่าที่เดือนละ 50,000 บาท และลงทุนสร้างไป 7 ล้านบาท


      นอกจากซุปเปอร์สเก็ตแล้ว ชาร์เตอร์ดิสโก้เธคก็เกิดขึ้นอีกแห่ง บนถนนรัชดาตรงแยกอ.ส.ม.ท. โดยกลุ่มเอกยุทธเช่าที่ของประวิทย์ รุจิรวงศ์ บนเนื้อที่ 6 ไร่ในราคา เดือนละ 180,000 บาท สัญญาเช่า 4 ปี และใช้เงินสร้างประมาณ 15 ล้านบาท

      ส่วนใบอนุญาตนั้นก็ซื้อมาจากสตาร์ดัสท์ไนท์คลับ ในวงเงิน 2 ล้านบาท ในชื่อของสุเทพ ชมภูนุช คนสนิทของเอกยุทธ

       ส่วนการบริหารนั้นก็ใช้ในนามของชาร์เตอร์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ โดยผู้มีอำนาจต้องเซ็นร่วมกันสองในสามคนในระหว่างเอกยุทธ เพิ่มศักดิ์ และอภิชาติ  ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี สวรรค์นี้มันช่างสุขสมอารมณ์หมาย  เมื่อมีเงินเสียอย่าง ไม่สำคัญว่าเงินของใครเวลาพูดจาอะไรมันก็น่ารักไปหมด แม้แต่หนังสือไฮคลาสก็ยังอุตส่าห์เอาเอกยุทธมาตีแผ่ความยิ่งใหญ่ถึงกับครั้งหนึ่งมีการอ้างว่าหนังสือไฮคลาสนั้นกลุ่มเอกยุทธเป็นคนไฟแนนซ์ให้ (แต่หุ้นทางสาย เอกยุทธ ถูก ปกรณ์ พงศ์วราภา ซื้อคืนไปหมดแล้ว)

         ในไฮคลาสฉบับเดือนธันวาคม 2527 ลงบทสัมภาษณ์เอกยุทธ อัญชันบุตร ในคอลัมน์ผู้ชายวันนี้ซึ่งเป็นคอลัมน์มีเป้าหมายที่จะเผยแพร่บทบาทของนักธุรกิจรุ่นหนุ่มที่ประสบผลสำเร็จ คอลัมน์นี้จัดทำโดยคนของอุทัย วงศ์ไชยศยวรรณ เพื่อเชียร์เอกยุทธโดยเฉพาะ (อุทัย วงศ์ไชยศยวรรณ เป็นคนเล่นคอมมอดิตี้คนหนึ่ง เคยเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ของโรงหนังไดเร็คเตอร์ซึ่งขณะนั้นเป็นของ สุระ จันทร์ศรีชวาลา กลายเป็นอาร์พีเอ็ม ดิสโก้เธค

        อุทัยอยู่ก๊วนเดียวกันกับเอกยุทธในการเล่นคอมมอดิตี้ โดยอุทัยมีบริษัทคอมมอดิตี้ชื่ออัพล็อตฟิวเจอร์เทรดดิ้ง อุทัยเคยร่วมหุ้นกับปกรณ์ พงศ์วราภา เจ้าของหนังสือหนุ่มสาว ออกหนังสือไฮคลาส) และแล้วยมบาลในขุมนรกคงเห็นว่าพวกเอกยุทธเสวยสุขมานานพอสมควรก็เลยเริ่มปรากฏตัวออกมาให้เห็นราง ๆ นั่นคือพระราชกำหนดบทลงโทษการเล่นแชร์

         โดยข้อเท็จจริงแล้วทางรัฐบาลกำลังจับตาดูชม้อยและนกแก้วกันอย่างขะมักเขม้น สำหรับชาร์เตอร์นั้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ค่อยสนใจเท่าใด เพราะขนาดของมันเมื่อเทียบกับชม้อยและนกแก้วแล้วก็ยังเล็กกว่ากันมาก แต่เวลานั้นเอกยุทธไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของตัวเองเสียแล้ว!  บางทีการมีเงินในมือมากๆ ก็ทำให้คนเราคิดว่าตัวเองคือเจ้าแผ่นดิน เอกยุทธก็เผอิญเป็นคนประเภทนั้นด้วย!

       เอกยุทธก็เลยทำในสิ่งที่ขนาดพรรคการเมืองอย่างชาติไทยยังไม่กล้าทำ คือการยื่นฟ้องเปรมและรัฐบาล! เท่านั้นเองแหละ ขบวนการกินโต๊ะจีนก็เริ่มขึ้นทันที!คำสั่งด่วนด้วยวาจาถูกถ่ายทอดลงมาตามลำดับชั้นว่าไก่ตัวแรกที่ต้องเชือดสังเวยพระราชกำหนด นี้คือแชร์ชาร์เตอร์

       จากการใช้อำนาจทางกฎหมายผ่านทางกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยมายังธนาคารพาณิชย์ทำให้เอกยุทธเริ่มรู้แล้วว่าสวรรค์นั้นมันชักจะร้อนขึ้นทุกวันแล้ว

         พระราชกำหนดนี้ทำให้วงแชร์ปั่นป่วนอย่างมากๆ เงินใหม่ที่จะเข้าก็หยุดชะงักรอดูเหตุการณ์ก่อน ส่วนเงินเก่านั้นก็ถึงคิวต้องจ่ายดอกเบี้ย เมื่อเงินใหม่ไม่เข้ามาแล้วเงินเก่าจะได้ดอกเบี้ยอย่างใดเล่า? และก็อย่างไม่มีใครนึกถึงเอกยุทธก็เลยเล่นบทขอมดำดิน ปล่อยให้วงแตกกันหมดเมื่อตำรวจออกหมายจับฐานออกเช็คไม่มีเงินเจ็ดล้านกว่าบาท

        เสริมชีพ เจริญชน กับวรรณี หาญวารี ก็คงรู้ชะตากรรมดีว่าหวยคงจะออกกับตัวไม่ช้าก็เร็ว ก็หอบหิ้วกันไปไต้หวัน (ปัจจุบันทั้งคู่หลบอยู่ในเมืองไทยแล้ว) อนุสรณ์ อัญชันบุตร ก็เกิดอยากไปเที่ยวออสเตรเลียขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่วัยก็ 40 กว่าปีไปแล้ว  มีก็อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต กับเพิ่มศักดิ์ จริตงาม ที่ยังนั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากชาร์เตอร์ดิสโก้เธคซึ่งให้รายได้วันละแสนกว่าบาทอย่างทองไม่รู้ร้อน บรรดาสาธุชนที่โลภทั้งหลายก็เฝ้ารอว่าเมื่อไรเอกยุทธจะทำตนเป็นพระโพธิสัตว์ปรากฏตัวขึ้นมาปลดเปลื้องกรรมเสียที ที่รอไม่ได้ก็หันไปพึ่งพากองปราบปรามสามยอด

      แล้ววันหนึ่งในเดือนมีนาคม อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต ก็โดนจับข้อหาออกเช็คไม่มีเงิน แต่อภิชาติก็หาเงินมาคืนได้ ก็ถูกปล่อยตัวไป และแล้วอภิชาติก็เดินทางไปฮ่องกงทันที ก็น่าจะเหลือแค่เพิ่มศักดิ์ จริตงาม แต่เพิ่มศักดิ์ก็ทำอะไรกับชาร์เตอร์ดิสโก้เธคตัวเงินตัวทองไม่ได้ เพราะต้องเซ็นชื่อ 2 คน ในที่สุดอภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต ก็บินกลับมาอย่างเงียบๆ เพื่อมาเซ็นชื่อทำนิติกรรมกับเพิ่มศักดิ์ในต้นเดือนแมษายน เช้าของวันที่ 8 อภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต กับเพิ่มศักดิ์ จริตงาม มาที่ชาร์เตอร์ดิสโก้เธคเพื่อดูแลกิจการ แต่คนที่มารอต้อนรับแทนที่จะเป็นพนักงานดิสโก้เช่นเคย กลับเป็น พ.ต.อ.อดิศร จันตนะพัฒน์ ผู้กำกับประจำกองปราบ ร.ต.อ.ฉัตรชัย สกุลพร หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจ และร.ต.อ.ประสาท ทรัพย์พิพัฒนา กับตำรวจกองปราบอีกจำนวนหนึ่ง รอต้อนรับพร้อมกับควบคุมตัวไปที่กองปราบ

        1 ปีกับ 6 เดือนที่เอกยุทธ อัญชันบุตร และสหายได้เริ่มตั้งชาร์เตอร์ขึ้นมาด้วยเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินยืมจากชม้อยก่อนจะพบจุดจบ 18 เดือนที่ผ่านมาคนหนุ่มกลุ่มนี้ได้ใช้ชั้นเชิงและความสามารถหมุนเงินของชาวบ้าน (ที่ค่อนข้างจะโลภ) เอามาจับจ่ายใช้สอยอย่างมันมือโดยออกมาในหลายรูปแบบ ตั้งแต่มีรถยนต์ 34 คัน จนถึงทรัพย์สินที่แอบซื้อเก็บไว้ ประวัติศาสตร์ทางการเงินบทนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจคนสองประเภท

       ประเภทแรก คือเจ้าที่รัฐที่มักจะทำอะไรงุ่มง่ามไม่ทันการ จนกระทั่งทุกอย่างมันเริ่มสายไปเสียแล้วถึงจะเข้ามา หรือเพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่ก็ร่วมด้วยแต่ยังไม่ได้เงินคืน ต้องรอให้ได้คืนครบเสียก่อนถึงค่อยฟาดฟันมันเข้าไป ซึ่งในที่สุดแล้วประวัติศาสตร์ทุก ยุคทุกสมัยมันก็มีบทพิสูจน์ว่าในตอนจบนั้นประชาชนระดับตัวเล็กๆ เท่านั้นแหละที่จะเป็นผู้รับเคราะห์ในทุกเรื่อง

       ประเภทที่สอง คือการที่ประชาชนควรจะได้รับการศึกษาว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ทำแล้วรวยเร็วนอกจากของที่ไม่ชอบมาพากล และคำสอนของพระพุทธองค์ก็ยังคงเป็น สัจธรรมที่ว่า "ความโลภคือการนำไปสู่หายนะ "

         คนประเภทหลังนี้ต่างหากที่น่าสงสาร เพราะการเล่นแชร์ของคนประเภทหลังนี้ น่าจะบ่งบอกบทบาทของการส่งเสริมให้คนทำมาหากินให้ได้ดีของรัฐบาลชุดนี้ได้พอสมควรว่าล้มเหลวแค่ไหน และล้มเหลวประการใด

ส่วนเอกยุทธ อัญชันบุตร และสหายนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าผลมันต้องออกมาเป็นเช่นนี้ก็ยังทำ โทษทัณฑ์เช่นนี้มันน่าจะจับมายิงเป้าเสีย เพราะการฉ้อโกงประชาชนเช่นนี้มันเลวยิ่งกว่าเดรัจฉานสี่เท้าที่กินอาจมเสียอีก

          "ผมถือหลักกล้าพูดกล้าทำกล้ารับผิดชอบเป็นจุดใหญ่ และอีกอย่างผมจะไม่โกงใคร คิดไว้ว่าถ้าโกงใครก็ขอให้ผมเจ๊ง... "

เอกยุทธ อัญชันบุตร หนังสือไฮคลาส ธันวาคม 2527

http://www.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=33741

ผมคิดว่าใครได้อ่านประวัตินายเอกยุทธ์ อัญชันบุตร ข้างบนแล้ว คนดีมีศีลธรรมที่ไหนเขาก็คงไม่คบกับคนพาลเช่นนี้ ต่อให้ทักทายปราศรัย ก็คงไม่ยอมทำ ยกเว้นเป็นคนมีศีลธรรมในระดับเดียวกับนายเอกยุทธ์ เท่านั้น (คือไม่มีศีลธรรมแม้แต่น้อย)

-------
อันนี้เป็นประวัตินายกรณ์ 
นายกรณ์ จาติกวณิช เคยดำรงตำแหน่งประธาน บริษัทเจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัดพ.ศ. 2544 – พ.ศ. 2547 ประธานบริษัทหลักทรัพย์เจเอฟ ธนาคม จำกัด พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2543 เอส จี วอร์เบิร์ก ลอนดอน ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2528 – พ.ศ. 2530

    พ.ศ. 2528 : เริ่มงานด้วยตำแหน่งผู้จัดการกองทุน บริษัท เอส จี วอร์เบิร์ก (S.G. Warburg & Co.) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (พ.ศ. 2528-2530)
    พ.ศ. 2531 : กลับประเทศไทย ร่วมก่อตั้งและเป็นประธาน บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัยเพียง 24 ปี (พ.ศ. 2531-2535)
    พ.ศ. 2535 : กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัย 28 ปี (พ.ศ. 2535-2543)
    พ.ศ. 2544 :
        ขายหุ้น เจเอฟ ธนาคม ในมือทั้งหมดให้กับ JP Morgan Chase และตั้งใจจะวางมือ เพราะแผนธุรกิจบรรลุผล ได้ผ่านงานในวงการการเงินครบแล้ว
        ตัดสินใจรับข้อเสนอเป็นประธาน บริษัทเจพี มอร์แกน ประเทศไทย โดยทำงานในฐานะผู้บริหารมืออาชีพแบบเต็มตัว (พ.ศ. 2544-2548)
------------

       นายกรณ์ จากิจติวณิชย์ อาชีพก่อนเป็นนักการเมืองคือทำงานเกี่ยวกับโปรกเกอร์ นายหน้าค้าขายหุ้น ซึ่งก็เป็นธุรกิจด้านที่เกี่ยวกับเงิน ซึ่งกองทุนรวม หรือ Mutual Fund ทั้งหลายที่เอาเงินชาวบ้านมาลงทุน ก็ไม่ได้ต่างจากแชร์มากมายนัก ก็เป็นธุรกิจในแวดวงเดียวกัน นายกรณ์ เขียนถึงการตายของเอกยุทธ์ดังนี้




จริงหรือไม่จริง แม่ปลากระทิงหอยเสียบ! . . 
เจ๊กตายลอยน้ำมา ไม่นุ่งผ้ากะฮอแหลมเปียบบบบบ!! . . ฮา!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น