พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โอวาทเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ เตือนอย่าให้โซเซียลมีเดีย-เทคโนโลยีมาครอบงำ และชี้นำการใช้ชีวิต แนะยึดค่านิยม 12 ประการ นำประเทศชาติดีขึ้น-ครอบครัวมีความสุข
7 ม.ค.2558 เว็บไซต์ ‘ทำเนียบรัฐบาล’รายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้โอวาทพร้อมมอบโล่รางวัลและประกาศเกียรติบัตรให้แก่เด็กและเยาวชนดีเด่น และนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากทั่วประเทศ จำนวน 771 คน เพื่อเป็นเกียรติประวัติและเป็นแบบอย่างที่ดี รวมทั้งสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เด็กและเยาวชนต่อไป โดยมี พล.ร.อ. ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ เป็นผู้นำคณะเด็กและเยาวชนดีเด่นดังกล่าวเข้าเยี่ยมคารวะ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวรายงานว่า การจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558 กำหนดให้มีการดำเนินการ 2 ส่วน คือ 1) เป็นการนำเด็กและเยาวชนดีเด่น และเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติที่ได้รับการคัดเลือกเข้าเยี่ยมคารวะและรับโอวาท พร้อมทั้งรับมอบรางวัลในวันพุธที่ 7 มกราคม 2558 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล และ 2) เป็นการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 10 มกราคม 2558 โดยกำหนดให้มีการจัดงาน ณ สนามเสือป่า สำนักพระราชวัง
สำหรับการดำเนินงานในวันนี้ คณะกรรมการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558 มีมติให้นำเด็กและเยาวชนผู้ได้รับการคัดเลือกจากทั่วประเทศ เข้าเยี่ยมคารวะและรับโอกวาทจากนายกรัฐมนตรี พร้อมรับมอบโล่รางวัล โดยมีเด็กและเยาวชนที่ได้รับการคัดเลือก 2 ประเภท คือ 1) เด็กและเยาวชนดีเด่นซึ่งได้รับการคัดเลือกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และองค์กรเอกชน รวม 545 คน โดยพิจารณาคัดเลือกจากเด็กและเยาวชนที่มีความประพฤติดี เรียนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์ ขยัน ประหยัด กตัญญูช่วยเหลือพ่อแม่ผู้ปกครอง และอุทิศตนเพื่อส่วนรวม และ2) คือเด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยพิจารณาคัดเลือกจากเด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านวิชาการ ด้านศิลปะและดนตรี ด้านคุณธรรมและจริยธรรม ด้านกีฬาและนันทนาการ และด้านทักษะฝีมืออาชีพ รวม 226 คน รวมเด็กและเยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกทั้ง 2 ประเภท จำนวนทั้งสิ้น 771 คน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้โอวาทแก่เด็กและเยาวชนฯ ว่า วันนี้รู้สึกยินดีและมีความสุขที่ได้มีโอกาสต้อนรับผู้แทนเด็กและเยาวชนฯ จากทั่วประเทศ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558 ซี่งจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 10 มกราคม 2558 และขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลทุกคน ซึ่งเด็กและเยาวชนถือเป็นอนาคตของชาติในระยะต่อไป การที่เด็กและเยาวชนฯ ได้นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศในการประกวดและแข่งขัน หรือถูกคัดเลือกให้ได้รับรางวัลนั้นถือว่าทุกคนได้รับการกลั่นกรองมาระดับหนึ่งแล้ว รวมทั้งขอแสดงความยินดีกับผู้ปกครองทุกคนที่มีบุตรหลานที่เอาใจใส่การเรียนและประพฤติปฏิบัติตนที่ดีจนได้รับรางวัลเป็นที่น่าภาคภูมิใจกับครอบครัวและวงศ์ตระกูล
อย่างไรก็ตามรางวัลที่ได้รับถือเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรี ต้องการบอกกับเด็กและเยาวชนคือขอให้ทุกคนเก็บความภาคภูมิใจไว้กับตัวเอง โดยเฉพาะเกียรติยศและเกียรติศักดิ์ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่กับตัวเราทุกคน และไม่มีใครเอาไปจากเราได้ นั่นคือความเป็นคนไทยที่มีเกียรติยศและศักดิ์ศรี อนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับทุกคน ทั้งนี้รัฐบาลมีหน้าที่ในการที่จะขับเคลื่อนและนำพาทุกคนไปสู่อนาคตให้ได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการให้คำขวัญวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2558 “ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต” ว่า การที่เขียนคำว่า “ความรู้ คู่คุณธรรม” เพราะความรู้และคุณธรรมทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้ทันกันได้ ซึ่งคุณธรรมถือเป็นบ่อเกิดของจริยธรรมที่จะส่งผลให้เกิดคุณธรรมทั้งในระดับองค์กรและประเทศ โดยคุณธรรมนั่นสามารถเริ่มได้จากตนเองและครอบครัวก่อนขยายไปสู่ระดับประเทศก็จะทำให้เป็นสังคมที่มีจริยธรรมและคุณธรรม เพราะฉะนั้นความรู้จึงเป็นบ่อเกิดของทุกอย่าง ซึ่งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญของทุกประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน ฉะนั้นต้องมองอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับคำขวัญ “นำสู่อนาคต” ที่ต้องการบอกเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ใส่ใจอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กและเยาวชนจะเป็นในวันข้างหน้า ทั้งนี้วันข้างหน้าประเทศไทยยังต้องมีการพัฒนาอีกมาก เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นในการพัฒนาเหล่านั้นจะต้องเริ่มด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คือคนไทยทุกคน รวมถึงเด็กและเยาวชนทุกคนที่จะต้องได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายส่วนที่จะดำเนินการพัฒนาดังกล่าว โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการถือเป็นส่วนที่สำคัญที่จะพัฒนาและผลิตทรัพยากรมนุษย์ให้สามารถที่จะไปสู่อนาคตได้อย่างมีคุณภาพคือมีความเข้มแข็งทั้งกายและใจสอดคล้องกับค่านิยม 12 ประการที่นายกรัฐมนตรีได้กำหนดไว้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสิ่งที่จะได้รับจากการปฏิบัติตนตามค่านิยม 12 ประการที่นายกรัฐมนตรีได้กำหนดไว้ ว่า จะทำให้สังคมและประเทศชาติดีขึ้น ทำให้ครอบครัวมีความสุข ซึ่งความสุขนั้นไม่จำเป็นจะต้องมีฐานะร่ำรวยทุกคน โดยให้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ความมีเหตุมีผล พอประมาณ มาเป็นแนวทางปฏิบัติในการดำเนินชีวิต พร้อมทั้งขอให้เด็กและเยาวชนใช้ชีวิตและใช้จ่ายให้เหมาะสมกับฐานะของตนเองและครอบครัว แต่หากบุคคลใดที่มีโอกาสดีอยู่แล้วก็ขอให้ใช้โอกาสนั้นให้ดีที่สุดและประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดี มีคุณธรรม ไม่เกเร และเอาเปรียบคนอื่น ส่วนใครไม่สามารถที่จะมีโอกาสที่ดีดังกล่าวก็ขอให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้มากขึ้นทั้งในและนอกห้องเรียนไปพร้อมกันด้วย ซึ่งปัจจุบันการศึกษามีหลายช่องทางที่สามารถศึกษาและเรียนรู้ได้ ทั้งการศึกษาในภาคบังคับ การศึกษาในระบบ การศึกนอกระบบ และการศึกษาที่ตามอัธยาศัย หรือการศึกษาที่จะเร่งต่อยอดสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ในเวทีโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ทุกคนมีความภาคภูมิใจว่าประเทศไทยเป็นแผ่นดินที่ดีที่สุด และเป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง โดยได้มีการเรียกกันว่า “แหลมสุวรรณภูมิ” เพราะฉะนั้นแหลมสุวรรณภูมิจะมีคุณค่าก็อยู่ที่คนที่อาศัยอยู่บนที่แห่งนี้ซึ่งเป็นที่ที่บรรพบุรุษและบูรพมหากษัตริย์ได้ต่อสู้ด้วยชีวิตและเลือดเนื้อเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีเพื่อรักษาและอยู่มาถึงจนปัจจุบันนี้ ดังนั้นหน้าที่ของทุกคนคือรักษาแผ่นดินนี้ให้ได้และพัฒนาให้เป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองต่อไป ด้วยความรักความสามัคคีและความมีคุณธรรมจริยธรรม โดยทุกคนทุกภาคส่วนทั้งข้าราชการ ภาคธุรกิจเอกชน ประชาชน ต้องร่วมมือกันพัฒนาประเทศไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดวิสัยทัศน์ชัดเจนว่า “เราจะต้องเป็นประเทศที่มั่งคั่ง และมั่นคง อย่างยั่งยืน” ภายใน 5 ปี (2015 – 2020) โดยทุกคนจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับประชาคมอื่น ๆ ในโลก ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการทุกอย่างภายใต้เวลาที่จำกัดในการบริหารประเทศเพื่อจะขับเคลื่อนประเทศไปให้ได้ในวันข้างหน้าและไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะฝากไว้กับเด็กและเยาวชนทุกคนคือ ให้ทุกคนใส่ใจและมองไปข้างหน้าว่าอนาคตต้องการเป็นและต้องการทำอะไร โดยมีการกำหนดเป้าหมายและแนวทางการดำเนินที่จะไปสู่จุดนั้นให้ชัดเจน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังขาดแคลนบุคลากรหลายด้าน โดยเฉพาะนักวิจัยและพัฒนา ที่จะสามารถผลิตวิจัยและพัฒนาค้นคว้านวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาได้ ซึ่งเรื่องนี้ประเทศไทยต้องกลับมามองย้อนดูว่าประเทศไทยมีนักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยและพัฒนาเพียงพอหรือไม่ โดยขณะนี้รัฐบาลก็ได้มีการส่งเสริมสนับสนุนภาคเอกชนและกลุ่มบุคคลทุกภาคส่วนในการที่จะดำเนินการดังกล่าว เพื่อที่จะนำพาประเทศไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนต่อไป
โดย ไทยรัฐออนไลน์ รายงานด้วยว่า นายกรัฐมนตรียังฝากถึงเด็กและเยาวชนในการใช้โซเซียลมีเดีย ว่า อย่าให้เทคโนโลยีมาครอบงำ และชี้นำการใช้ชีวิต เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำอาชญากรรมเข้ามา และทำให้ประเทศถอยหลัง ทั้งนี้ ยังฝากถึงเด็กและเยาวชนว่าอย่าให้ใครมาปลุกปั่นให้เกิดการแตกแยก เพราะวันนี้จะนำประเทศเข้าสู่กระบวนการปฏิรูป ซึ่งเราไม่มีเวลาอีกแล้ว ในการแก้ไขมีเพียงช่วงนี้เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น