วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นี่คือความชั่วร้าย.. เพราะคนต้นคิดมันชั่วร้าย

http://www.internetfreedom.us/thread-12366.html
นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ขึ้นในประเทศไทยประมาณปลายปี 2547 จนถึงปัจจุบันปี 2554 ประเทศไทยไม่เคยได้รับประโยชน์ใดๆ ในทางสร้างสรรค์จากกลุ่มพันธมิตรนี้เลยแม้แต่น้อย.. การปลุกระดมให้พี่น้องประชาชนในชาติเกิดความแตกแยกด้วยการให้ข้อมูลผิดๆ และใช้ “วาทกรรม” ในการปลุกเร้าให้คนไทยที่เป็นคนรักความยุติธรรม ออกมาแสดงตนว่าเป็นคนรักชาติและร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตร เพื่อล้มล้างอำนาจรัฐที่เป็นของประชาชนที่ผ่านมา... “นี่คือความชั่วร้าย” 


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยการนำของ สนธิ..จำลอง..เป็นตัวหลัก ได้กลายเป็นเงื่อนไขหลักที่ทำให้ประเทศไทยที่กำลังพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด.. ต้องถูกผลักให้ตกลงไปในเหวแห่งความมืดมนอย่างไม่รู้ว่าจะได้กลับคืนมาได้อีกเมื่อไร และกองทัพก็ใช้เงื่อนไขนี้เป็นสาเหตุหนึ่งในการทำรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 ... “นี่คือความชั่วร้าย” 



พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย.. ประกาศตัวว่าต้องการให้ประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีรัฐบาลที่เป็นนิติรัฐ.. และมีธรรมาภิบาล.. แต่ทว่าเมื่อเกิดการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตย กลับโห่ร้องแสดงความชื่นชมยินดี.. นำเอาดอกไม้ไปมอบให้กับทหารที่ “ทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย” พฤติกรรมเยี่ยงนี้คงไม่อาจจะบอกได้ว่าเป็นการชุมนุมเพื่อประชาธิปไตย นอกจากจะบอกว่าเป็นการชุมนุมเพื่อ ล้มล้างประชาธิปไตย.. “นี่คือความชั่วร้าย” 


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย.. นำมวลชนเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลขัดขวางการทำงานของรัฐบาลที่มาจากประชาชนในทุกวิถีทาง ปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้มีการประชุมสภา.. เข้ายึดสถานีโทรทัศน์ NBT และนำมวลชนชุมนุมเพื่อหาเหตุให้มีการล้มรัฐบาลของ พรรคพลังประชาชน.. ที่เกิดขึ้นภายหลังมีการรัฐประหารแล้ว.. “นี่คือความชั่วร้าย” 


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย.. บุกเข้ายึดสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ทำให้เศรษฐกิจของชาติพังทลายลงในทันทีนับหลายแสนล้านบาท.. ธุรกิจการค้าของประชาชน รวมถึงนักท่องเที่ยวที่จะต้องเดินทางไปมา ได้รับผลกระทบอันไม่อาจจะประเมินได้.. ประเทศชาติต้องสูญเสียเกียรติภูมิในสายตาของนานาชาติ ทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เข้าข่ายการเป็น “ผู้ก่อการร้าย” แต่ก็ไม่มีใครที่จะนำตัวมาพิจารณาโทษได้... “นึ่คือความชั่วร้าย” 

ปูนนก
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย.. โดยแกนนำเคยประกาศว่าการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ และจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือไม่เข้าไปมีตำแหน่งทางการเมือง.. แต่ในที่สุด พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ก่อตั้ง “พรรคการเมืองใหม่” โดยมีสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวหน้าพรรค แม้ภายหลังจะลาออกก็ตาม... “นี่คือความชั่วร้าย” 


และวันนี้... พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย.. ได้นำมวลชนมาชุมนุม..และจุดกระแสให้เกิดการคลั่งชาติด้วยการนำเอาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหาร มาเป็นประเด็น จนในที่สุดก็เกิดการปะทะกันที่แนวชายแดน.. ซึ่งเมื่อพิจารณาด้วยใจเป็นธรรม และมีสติสัมปชัญญะทีสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว.. ก็น่าจะบอกได้ว่าเป็นการก่อสงครามที่ไร้เหตุผลสิ้นดี.. เพราะประเทศที่ พันธมิตร ควรจะไปประท้วง ควรจะเป็นฝรั่งเศส ที่เข้ามาวุ่นวายในดินแดนแถบนี้ และทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกัน.. แต่ทว่า พันธมิตร กลับสร้างเรื่องจนกระทั่งมีประชาชนไทย..ประชาชนเขมร ..ทหารไทย.. และทหารเขมร ต้องเสียชีวิตกับการกระทำอันไร้สาระนี้อย่างไม่สมควร.. “นี่คือความชั่วร้ายอันไม่อาจบรรยายได้” 


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรวมถึงผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังกลุ่มคนเหล่านี้​... ผมจะจดจำชื่อคนเหล่านี้เอาไว้.. มีลูกก็จะบอกลูก..มีหลานก็จะบอกหลาน... ถ้าอยู่ถึงมีเหลนก็จะบอกเหลน.. ให้จดจำพวกมันเหล่านี้เอาไว้.. ให้จดจำในความ “ชั่วช้าเลวทราม” ที่พวกนี้ได้กระทำย่ำยีต่อประเทศไทย และพี่น้องคนไทยผู้ร่วมชาติเดียวกัน.... และถ้าทำได้... ผมจะพยายามคิดที่จะทำอะไรสักอย่างเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึง “ความเกลียดชัง” คนเหล่านี้ ให้เป็นอนุสรณ์เอาไว้ตราบเท่าที่ประเทศไทยคงอยู่เหมือนดังเช่น.. “ปาท่องโก๋” 


ซึ่งมีตำนานเล่าต่อกันว่า ในสมัยราชวงศ์ซ้อง มีแม่ทัพนายหนึ่งชื่อ “งักฮุย” เป็นคนที่รักชาติยิ่งชีพ และมีความเก่งกาจสามารถรบชนะข้าศึกเป็นจำนวนมาก จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว จนขุนนาง “ฉินข้วย” และ “ภรรยาแซ่หวัง” ซึ่งเป็นคนโลภ ได้ถูกฝ่ายตรงข้ามใช้เงินหว่านล้อมให้ทรยศต่อชาติเป็นพวกได้สำเร็จ เข้ากราบทูลเท็จต่อองค์ฮ่องเต้ว่า งักฮุยคิดการใหญ่ และแอบหลบหนีกองทัพในยามสงคราม ทำให้งักฮุยถูกประหารชีวิต

เมื่อข่าวแพร่ออกไป ชาวบ้านต่างรู้สึกโกรธแค้น จึงใช้วิธีการสาปแช่งด้วยการปั้นแป้งมาประกบติดกัน เพื่อเป็นตัวแทนของ “ฉินข้วยและภรรยา” ขุนนางขายชาติ ก่อนหย่อนใส่น้ำมันเดือดพล่าน เมื่อแป้งสุกแล้วก็นำมากัดกินด้วยความโกรธเกลียด เพื่อให้สาสมกับการกระทำดังกล่าว และเรียกขนมแป้งแห่งความเกลียดชังนั้นว่า “อิ่วจาก้วย” หมายถึง น้ำมันทอด“ฉินข้วย” นั่นเอง... ซึ่งต่อมาคนไทยเรียกเพี้ยนเป็น “ปาท่องโก๋” มาจนทุกวันนี้...


อืมมม....เขียนเรื่องพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยอยู่ดีๆ ทำไมถึงออกมาเป็นเรื่อง ปาท่องโก๋ ได้ก็ไม่รู้....สงสัยคงจะ “คับแค้นใจ” มากไปหน่อย..


ปูนนก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น