อภิสืทธิ ถูกถอดจากตำแหน่งนายก ?
รัฐสภาไทย
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 13:20
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับสารภาพกลางที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ว่า "เกิดในประเทศอังกฤษ จริง" จึงได้สัญชาติอังกฤษโดยการเกิด ดังนั้น นายอภิสิทธิ์ฯ จึงขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีบทบัญญัติกำหนดไว้ในมาตรา ๙๕ อันบัญญัติไว้ว่า
มาตรา ๙๕ บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน
๑. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
แต่ในกรณีของนายอภิสิทธิ์ฯ มิได้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๙๕ ขาดต่อสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรี และการกระทำใด ๆ อันก่อให้เกิด และ/หรือ ผูกพันต่อหน่วยงาน องค์กรของรัฐ หรือระหว่างประเทศ ย่อมมีผลเป็นโมฆะ รวมทั้งผลประโยชน์ใด ๆ อันเกิดขึ้นนับแต่เข้าสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้ง มีรายได้จากเงินเดือนอันมาจากภาษีของรัฐ ต้องชดใช้คืนต่อรัฐ นี้เป็นส่วนความผิดเรื่องขาดคุณสมบัติเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร และไม่อาจดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไปได้
ในส่วนของทางความผิดทางอาญา คือ ลักทรัพย์ด้วยกลอุบาย โดยการข้อมูลอันเป็นเท็จ ปรากฏต่อสาธารณะหลอกลวงประชาชน ได้ไปซึ่งทรัพย์สินและผลประโยชน์ และการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนื่องนับสิบปี จึงมิใช่เป็นการกระทำอันเกิดขึ้นโดยความประมาทพลั้งเผลอ แต่เป็นไปโดยสันดาน
...................................................
กล่าวโดยสรุปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยคุณสมบัติสมาชิกสภาผู้แทน นายอภิสิทธิ์ จึงไม่อาจดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐบาลได้อีกต่อไป ส่วนทางอาญา ประชาชนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าของภาษีที่จ่ายเป็นเงินเดือนและผลประโยชน์ใด ๆ ที่นายอภิสิทธิ์รับไป ย่อมเป็นเจ้าทุกข์ สามารถนำความเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงาน ให้ดำเนินคดีได้นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เนื่องจากผู้กระทำความผิด(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ได้รับสารภาพต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งถ่ายทอดภาพ/เสียงไปยังประชาชนทั่วประเทศ เชิงประจักษ์แล้ว
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 13:20
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับสารภาพกลางที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ว่า "เกิดในประเทศอังกฤษ จริง" จึงได้สัญชาติอังกฤษโดยการเกิด ดังนั้น นายอภิสิทธิ์ฯ จึงขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีบทบัญญัติกำหนดไว้ในมาตรา ๙๕ อันบัญญัติไว้ว่า
มาตรา ๙๕ บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน
๑. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
แต่ในกรณีของนายอภิสิทธิ์ฯ มิได้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๙๕ ขาดต่อสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรี และการกระทำใด ๆ อันก่อให้เกิด และ/หรือ ผูกพันต่อหน่วยงาน องค์กรของรัฐ หรือระหว่างประเทศ ย่อมมีผลเป็นโมฆะ รวมทั้งผลประโยชน์ใด ๆ อันเกิดขึ้นนับแต่เข้าสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้ง มีรายได้จากเงินเดือนอันมาจากภาษีของรัฐ ต้องชดใช้คืนต่อรัฐ นี้เป็นส่วนความผิดเรื่องขาดคุณสมบัติเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร และไม่อาจดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไปได้
ในส่วนของทางความผิดทางอาญา คือ ลักทรัพย์ด้วยกลอุบาย โดยการข้อมูลอันเป็นเท็จ ปรากฏต่อสาธารณะหลอกลวงประชาชน ได้ไปซึ่งทรัพย์สินและผลประโยชน์ และการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนื่องนับสิบปี จึงมิใช่เป็นการกระทำอันเกิดขึ้นโดยความประมาทพลั้งเผลอ แต่เป็นไปโดยสันดาน
...................................................
กล่าวโดยสรุปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยคุณสมบัติสมาชิกสภาผู้แทน นายอภิสิทธิ์ จึงไม่อาจดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐบาลได้อีกต่อไป ส่วนทางอาญา ประชาชนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าของภาษีที่จ่ายเป็นเงินเดือนและผลประโยชน์ใด ๆ ที่นายอภิสิทธิ์รับไป ย่อมเป็นเจ้าทุกข์ สามารถนำความเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงาน ให้ดำเนินคดีได้นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เนื่องจากผู้กระทำความผิด(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ได้รับสารภาพต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งถ่ายทอดภาพ/เสียงไปยังประชาชนทั่วประเทศ เชิงประจักษ์แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น