วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554




วูแมน CEO – (แอ๊บ) แมน CEO




วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
        มื่อวันที่ 8 มี.ค. ที่เพิ่งผ่านมา เป็น ‘วันสตรีสากล’ แต่ปีนี้เป็นวาระพิเศษ เพราะนับถึงการครบ 100 ปี นับแต่มีการจัดงาน ‘วันสตรีสากล’ ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ 8 มีนาคม ค.ศ. 1911 

        วันสตรีสากลนั้น มีแรงจูงใจมาจากการนัดหยุดงานของกรรมกรหญิงโรงงานทอผ้า ในชิคาโก สหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก เมื่อ 8 มีนาคม ค.ศ. 1907 

        ผู้นำกรรมกรหญิงครั้งประวัติศาสตร์นั้น คือ คลาร่า เซทกิ้น (Clara Zetkin) ความมุ่งของของการนัดหยุดงาน ก็เพื่อเรียกร้องให้ลดเวลาการทำงาน ปรับปรุงสวัสดิการ รวมทั้งให้มีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งด้วย 

        ในวาระพิเศษคือการครบรอบศตวรรษ ของวันสตรีสากล องค์กรสตรีหลายแห่ง ได้จัดการการสดุดีให้กับสตรีผู้หาญกล้าท่านนี้ด้วย

        สำหรับชาวไทยแล้ว วันสตรีสากลปีนี้เรามีข่าวน่ายินดี เพราะสื่อต่างๆในบ้านเมืองของเรา รายงานตรงกันว่าผลการสำรวจธุรกิจ

นานาชาติของ แกรนท์ ธอร์นตัน (Grand Thornton) ซึ่งเป็นบริษัทตรวจสอบบัญชี อันดับหนึ่งของสหรัฐ เผยว่า 

        ในปี 2554 ไทยมีผู้หญิงดำรงตำแหน่งบริหาร หรือ CEO มากที่สุดในโลก หรือคิดเป็น 45% ขณะที่ทั่วโลกมีผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งบริหารเพียง 20% ลดจาก 24% ของปี 2552  

        จากผลการสำรวจทัศนคติของธุรกิจเอกชนทั่วโลก พบว่า ไทยมีอัตราร้อยละของผู้หญิงในตำแหน่งผู้บริหารมากที่สุด (45%) ตามด้วยจอร์เจีย (40%) รัสเซีย (36%) ฮ่องกงและฟิลิปปินส์ (ประเทศละ 35%) ส่วนประเทศที่มีอัตราร้อยละต่ำสุดได้แก่ อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และญี่ปุ่น ซึ่งมีผู้หญิงดำรงตำแหน่งผู้บริหารน้อยกว่า 10%

        
เป็นเรื่องที่น่ายินดี สำหรับประเทศไทยของเรา เป็นอย่างยิ่ง!

        สำหรับผมแล้ว ไม่ค่อยแปลกใจนัก ที่สตรีไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหรือ CEO ขององค์กรต่างๆในประเทศ จนมีจำนวนมากกว่า ชาติที่เจริญกว่าเราด้วยซ้ำ เพราะโดยส่วนตัวของผม ซึ่งความสนใจศึกษาในเรื่องพฤติกรรมของผู้คน ได้สังเกตเห็นว่า 

        มีข้อแตกต่าง ระหว่างผู้หญิงฝรั่งกับผู้หญิงไทยที่สำคัญมากอย่างยิ่ง ก็คือ

        ผู้หญิงไทยนั้น หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว มาก่อนผู้หญิงฝรั่งอย่างอเมริกัน จะขอเล่าให้ท่านฟัง ดังนี้

        ต่โบราณนั้น ฝรั่งอย่างคนอเมริกัน เมื่อแต่งงานแล้ว ต้องอยู่แต่ในบ้าน ต้องทำงานอย่างหนักทั้งในบ้าน และต้องช่วยสามีในการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ด้วยนอกบ้านด้วย ถ้าเป็นเกษตรกร 

        ผู้หญิงอเมริกันเพิ่งจะมามีอิสระ หาเงินด้วยตัวเอง เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้นนั่นแหละ ซึ่งเป็นโอกาสที่หญิงอเมริกัน มีโอกาสออกนอกบ้าน เข้าไปทำงานในโรงงาน เป็นกรรมกรผลิตสิ่งอุปกรณ์ทางทหาร 

        ในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล เครื่องบิน รถถัง ยานเกราะ ปืนใหญ่ ลูกระเบิด ตอร์ปิโด เรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน สตรีอเมริกันเหล่านี้เป็นแรงงานอันทรงคุณค่าทั้งสิ้น อีกทั้งยังทำงานหนักอื่นๆในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นงานกรรมกร และในโรงงานผลิตสาธารณูปโภค เช่น โรงไฟฟ้า น้ำประปา เป็นกำลังสำคัญของชาติเป็นอย่างมาก  

        ต้องอธิบาย ให้ท่านฟังเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ คือ เมื่อครั้งผมเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารบก เขาสอนในเรื่องการส่งกำลังและซ่อมบำรุงเอาไว้ว่า 

        เมื่อทหาร 1 คน เดินเข้าสู่สมรภูมินั้น จะต้องมีพลเรือนทำงาน เพื่อผลิตสิ่งอุปกรณ์ (สป.) ทางทหารให้ทหารคนนั้น เฉลี่ยแล้วถึง 6 คนด้วยกัน เพราะต้องมีการผลิตเป็นกระบวนการ เช่น เสื้อผ้า หมวก รองเท้า อาวุธปืนประจำกาย ระเบิดขว้าง ยารักษาโรค ฯลฯ 

        ดังนั้น ทหารเข้ารบหนึ่งล้านคน ก็ต้องมีคนข้างหลัง คอยผลิตยุทธภัณฑ์ต่างๆเพื่อสนับสนุน ถึง 6 ล้านคน เป็นอย่างน้อย!

        สตรีอเมริกันทำงานหนัก นอกจากทำงานในโรงงานสิ่งอุปกรณ์เครื่องรบแล้ว โรงงานสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงไฟฟ้า น้ำประปา และจากการทำงานนี้เอง มีภาพสวยๆงามๆอันเป็นประวัติศาสตร์ในพิพิธภัณฑ์ อย่างรูปประกอบคอลัมน์นี้ชื่อ 

        “Rosie the Riveter”
content/picdata/286/data/photo1.jpg

        แปลง่ายๆว่า “คุณโรซี่-สาวย้ำหมุด” หรือ “แม่โรซี่-อีสาวตอกหมุด!” เพราะเครื่องมือที่เธอวางพาดตักนั้น คงเป็นเครื่องย้ำหมุด หรือยิงหมุด ใกล้เคียงกับเครื่องมือปัจจุบัน และเธอกำลังรับประทานแซนด์วิช ระหว่างพักกลางวันด้วย 

        รูปนี้ฮิตฮอตมากทีเดียว ผมชอบมาก เลยนำให้ท่านผู้อ่านได้ชมความน่ารักกัน       

        ดูกล้ามของเธอแล้ว น่าเอ็นดูมากจริง ใครที่อยากได้แฟนรูปร่างล่ำๆสันอย่างนี้ คงหาแต่ไม่เคยหาได้ยาก เพราะผู้หญิงไทยที่มีเรือนร่างกำยำอย่างนี้ หายากยิ่งกว่าไปงมหาไข่มุกที่ระนอง ส่วนผู้หญิงไทยที่บางคน แม้ตัวจะใหญ่นั้น แต่ส่วนมากก็ค่อนข้างจะออกไปทาง ‘เจ้าเนื้อ’ เสียเป็นส่วนมาก ที่เหลืออยู่แต่ฉบับพอกเก็ตบุค คือร่างเล็กผอม แต่ใส่เสื้อฟิต กระโปรงสั้น เดินหายาทาผิวขาว โฉบเฉี่ยวไปมาแถวสยามแสควร์ 

        ซึ่งไม่ตรงสเป๊ก คนเขียนเสียด้วย!       

        ราวนี้ท่านผู้อ่าน ลองหันกลับมาดูบ้านเรากันบ้าง ตรงนี้ผมพออธิบายให้ฟังได้ว่า 

        ครอบครัวคนไทยในสมัยก่อนนั้น ยังมีระบบ “ไพร่” ซึ่งชายไทยต้องทำหน้าที่มาเข้าเวรยามที่บ้านเจ้านาย ปีหนึ่งก็หลายเดือน ต้องทิ้งลูกเมียให้อยู่ที่บ้าน หากท่านผู้อ่านนึกไม่ออกขอให้นึกถึงเรื่อง “แม่นาคพระโขนง” นั่นไง       

        ทิดมากผัวนางนาค ต้องออกจากบ้านแค่พระโขนง (แต่ก่อนก็คงไกลโขอยู่) มาเข้าเวรบ้านเจ้านาย ที่อยู่ในกรุงเทพฯ โดยนั่งเรือแจวมา ซึ่งก็ต้องกินเวลาเป็นวัน กว่าจะมาถึงบ้านนายท่าน ทิ้งให้เมียอยู่บ้านเพียงคนเดียวเท่านั้น

        ไม่ใช่แต่แม่นาค ที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว เพราะสามีต้องมาทำหน้าที่ในกรุงเทพฯ ผู้หญิงบ้านอื่นๆ ก็เหมือนกับแม่นาคนั่นเอง

        ฉะนั้น ผู้หญิงไทยในสมัยโบราณต้องทำมาหาเลี้ยงตัวเองระหว่างผัวไม่อยู่ ต้องหากินโดยเอาผลิตผลไร่นาไปขาย รู้จักคิดเลขเพราะต้องเก็บเงินจากข้าว ปลา พืชผักที่ขายได้ ผู้หญิงไทยแม้อ่านหนังสือไม่ออก แต่ก็คิดเลขเป็น และวิธีคิดเลขก็ง่านมาก คือ 
     
        ผู้หญิงไทยสมัยก่อนที่มีการประถมศึกษา (ก่อน ร.6) เอาเม็ดน้อยหน่ามาเป็นเครื่องช่วยคิด เช่น    
  
        ต้นทุน 100 สตางค์ก็ทำเม็ดน้อยหน่ากองละ 10 เม็ดเอาไว้ 10 กอง ซื้อของออกไป 73 สตางค์ ก็จ่ายกองที่ตั้งเป็นทุนออกไป 7 กอง กับอีก 3 เม็ด ขายได้ครั้งละ 5–10 สตางค์ ก็เอาเม็ดน้อยหน่ากลับเข้ามา แยกเป็นกองเหมือนเดิม เกิน 10 กองก็เป็นกำไร น้อยกว่าก็ขาดทุน ลักษณะเดียวกับทำ balance sheet  ในวิชาบัญชี ยังไงยังงั้นเลยทีเดียว 

        ขาดทุนหรือกำไรนั้น ก็นับดูจากเม็ดน้อยหน่ากองที่ตั้งไว้นั่นแหละ จึงทำให้ผู้หญิงไทยคิดเลขเป็น และทำหน้าที่ดูแลกำปั่นเงินของบ้านหรือเป็นทั้ง สมุห์บัญชีใหญ่และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของบ้านไปในตัวด้วย คุณผัวจะใช้เงินไปทำอะไรก็มาเบิกเอา...

        บ้านคนไทยเรา เป็นอย่างนี้ !

        เมื่อเรือนขยายขึ้น เพราะมีลูกมีเต้าด้วยกัน กำปั่นใส่เงินก็โตขึ้น ตามการขยายของเรือน ยิ่งมีบ่าวไพร่ด้วยแล้ว ผู้หญิงไทยยิ่งจะมีต้องมีหน้าที่ดูแลเอาใจใส่ และระแวดระวังการกุมกำปั่นเงินมากขึ้น ตรงนี้ผิดกับผู้หญิงอเมริกัน เป็นอย่างมาก

        ผู้หญิงอเมริกันนั้น ไม่มีอิสรเสรี จะต้องแบมือขอเงินผัว เพราะสามีของหล่อน เป็นคนเก็บงำเงินทุกเซ็นต์ ทุกดอลล์ ตรงนี้เองที่ผมเคยเถียงกับเพื่อนฝรั่ง มานักต่อนักแล้วครับ ว่า  
    
        ผู้หญิงไทยนั้นมีสิทธิเสรีภาพ มากกว่าฝรั่งอเมริกันอย่างเทียบกันไม่ได้ เถียงกันทีไร ผมยกประเด็นเรื่องการเก็บเงินขึ้นมาเมื่อไหร่ พวกฝรั่งก็หงายเก๋ง เจ๊งไปทุกราย เพราะหญิงไทยนั้น คุมการคลังของบ้านเอาไว้ เหมือนกับคำฝรั่งที่พูดว่า 

        ถ้าหากเราจะดูความสำคัญของคน ในองค์กร หรือบริษัทแล้วขอให้ดูตรงที่...
       

        “Who holds the purse strings?”         แปลได้ว่า...ใครเป็นคนกุมสายกระเป๋า ?

        ต้องขออธิบายเล็กน้อยว่า เมื่อคนอเมริกันสมัยก่อนเขาหาเงินได้ จะเก็บเงินไว้ในกระเป๋า ที่มีสายรูดปิดเปิด จะเอาเงินออกจากกระเป๋าไปใช้จ่ายก็รูดเปิด ควักเงินแล้วก็รูดปิด 

        ดังนั้น ผู้ที่กุมสายกระเป๋าก็จะมี ‘อำนาจ’ เพราะเป็นฝ่ายกุมเงินของบ้าน ซึ่งธรรมเนียมฝรั่งมะกันนั้น อีตาสามีเป็นผู้คุมเบ็ดเสร็จ เมียจะเอาเงินไปใช้อะไร 

        ก็ต้องแบมือขอ! 

        อีตาผัวรู้หมดว่า จะเอาเงินไปซื้ออะไรบ้าง และผู้ภริยาที่ขอเงิน ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนเป็นสามี ที่จะให้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเขาโดยเด็ดขาดด้วย!

        แต่...

        ...การรักษาเงิน หน้าที่เก็บสตางค์นี้ เป็นสิทธิโดยชอบของผู้หญิงไทยมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ส่วนสตรีอเมริกันส่วนใหญ่ เพิ่งจะโผล่ออกจากบ้าน มาทำงานหาเงินเก็บใส่กระเป๋าตัวเอง ก็อีตอนสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้น อย่างที่เล่าให้ฟังแล้วในตอนต้น   
   
        ต้องขอยืนยันอีกครั้งว่า ผู้หญิงไทยมีความก้าวหน้ากว่าฝรั่งอย่างเทียบกันไม่ได้  ยิ่งกว่านั้น สำหรับเมืองไทยแล้ว แม้ฝ่ายแม้ภริยาของตัวจะตายลง สามีก็จะไม่จัดการเรื่องการเงิน แต่อำนาจการดูแลการเงินในบ้าน ก็จะตกอยู่กับลูกสาวคนโต 

        ตรงนี้ขอให้ดูอย่าง ‘คุณอุ่น’ ลูกคุณหญิงเมียใหญ่ของเจ้าคุณพ่อของ ‘คุณพลอย’ ในเรื่อง ‘สี่แผ่นดิน’ นวนิยายของท่านอาจารย์ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นั่นปะไร เธอกุมอำนาจในบ้านเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริงๆ 

        ผู้หญิงอย่างคุณอุ่นนั้น ในชั่วชีวิตของผม ก็ได้พบเห็นมาหลายคนแล้ว     

        ด้วยเหตุผลที่ผมเล่าให้ฟัง คงแสดงให้ท่านผู้อ่านได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า ผู้หญิงไทยบ้านเราครองความสำคัญในบ้านเพราะ holds the purse strings และไม่เพียงแต่ฝรั่งเท่านั้น ที่ผัวถือเงิน ผู้หญิงชาติอื่น อย่างจีน แขก พม่า มอญ พวกนี้ผู้เป็นสามี ก็เป็นฝ่ายเก็บเงินทั้งนั้น มีแต่เมืองไทยเท่านั้น

      
  ที่แปลกแยกออกไป! 

        ดังนั้น ผมจึงไม่รู้สึกแปลกใจ ที่การสำรวจของฝรั่ง นอกจากเรามีสตรีเป็น CEO มากกว่าชาติอื่นแล้ว 

        CEO ทางการเงินหรือบัญชีนั้น ผู้หญิงไทยมีมากกว่าสาขาอื่น ทั้งนี้ ก็เพราะผู้หญิงไทยเราเป็น CEO ทางการบริหารเงินในบ้านมานมนานแล้ว และก็ยังเป็นอยู่ทุกวันนี้    
   
        ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงมีความเห็นส่วนตัวว่า เรื่องสิทธิเสรีภาพของหญิงไทย มีความก้าวหน้าเป็นที่สุด เพราะคุมการคลังของบ้านมาตั้งแต่โบราณ แต่มุมมองของผมเรื่องนี้ อาจไม่ซ้ำกับใคร หากท่านผู้อ่านที่ไม่เห็นด้วย ก็ลองโต้แย้งแลกเปลี่ยนความเห็นกันดู ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี

        นอกจากนั้น เรื่องที่ก้าวหน้ามากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้หญิงไทยเราได้สิทธิ ในการเลือกใช้ ‘นามสกุล’ เดิมของตัว แทนการต้องเปลี่ยนนามสกุล ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 

        สำหรับความคิดของผมแล้วเห็นว่า เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะคนที่จะเอานามสกุลของสามีไปใช้ลดลงหนึ่งคน คือตัวภริยานั่นเอง
        ตรงนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องจริง ที่ผู้ชายคนหนึ่งมีภริยาแล้วและผู้หญิงคนมาทีหลัง เธอต้องการใช้นามสกุลสามีให้ได้ ทั้งๆที่รู้ว่าฝ่ายชายแต่งงานแล้ว แต่รายนี้เขาหาทางออกได้ดี คือ 

        จดเมียน้อยเป็น ‘บุตรบุญธรรม’ ของพี่ชายไป ซึ่งก็น่าจะเรียบร้อยดี ถ้าไม่มีเรื่องโกรธเคืองกันเสียก่อน ฝ่ายหญิงร้องเรียนผู้บังคับบัญชาของฝ่ายชายคนหัวดี ทำให้มีเรื่องหัวเราะกันกลิ้งไปหลายวัน       

        ตอนนี้ผู้หญิงได้สิทธิในการเลือกใช้นามสกุลไปแล้ว ผมจึงอยากให้แก้ประมวลกฎหมายแพ่ง ที่ให้ฝ่ายชายต้องเป็นฝ่ายนำของหมั้นไปให้ฝ่ายหญิง แก้เป็นฝ่ายหญิงเอาของหมั้น มาสู่ขอฝ่ายชาย

        เผื่อฟลุคที่ตัวผู้เขียนเอง จะได้รับของหมั้นให้ครึกครื้น เป็นสีสันกับชีวิตตอนสูงวัยกับเขาบ้าง!555

        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ 

        แม้สตรีไทยได้เป็น CEO มากกว่าชาติอื่น และมีอยู่ในหลายสาขาด้วยกัน ใช่แต่เฉพาะด้านการเงินเท่านั้น เรามีทั้งผู้พิพากษาระดับหัวหน้าศาลและในศาลสูงด้วย ส่วนตำแหน่งข้าราชการสูงถึงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด อธิบดีหรือปลัดกระทรวง ก็มีแล้ว แต่ตำแหน่ง CEO ของประเทศ หรือตำแหน่งทางการเมือง ก็คือ “นายกรัฐมนตรี” นั้น บ้านเรายังไม่มี เพราะเท่าที่ผ่านมา เราคงเห็นแต่เพศชายเท่านั้น!

        แต่ที่พิกลในตอนนี้ ก็คือ...

        ตอนนี้เริ่มมีเสียงออกมาพูด และถกเถียงกันหนาหู ในทำนองตั้งข้อสงสัยว่า แท้ที่จริงแล้ว คนเป็นผู้นำรัฐบาลโลซกตอนนี้ นั้น 

        “เป็น ‘ผู้ชาย’ แท้ๆ...หรือเปล่า!?”

        พี่น้องประชาชนคงสังเกตเห็น จากสื่อหนังสือพิมพ์ ซึ่งได้แสดงความเห็นแปลกๆ เกี่ยวกับตัวนายมาร์ค มุกควาย และที่สำคัญ ซึ่งผู้คนได้ยินทั่วกันทั้งบ้านทั้งเมือง เป็นการถ่ายทอดสดทั้งโทรทัศน์ ASTV และวิทยุจากคลื่นท่าพระอาทิตย์ สดๆจากการตั้งวงปราศรัย ที่เชิงสะพานมัฆวาน ซึ่ง นายประพันธ์ คูณมี ก็เพิ่งบอกเมื่อคืน 9 มี.ค..2554 หลังจากการงานเลี้ยง ที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่า 

        เป็น “แดกเย้ยประชาชน” ของพรรคแกนนำรัฐบาล และไม่ใช่การ ‘ระดมทุน’ แต่กลับโดนเหน็บว่าเป็นการ ‘ระดมไถ’ โดยคุณประพันธ์ฯเล่าให้ผู้มาร่วมชุมนุมฟัง อย่างนี้ครับ

       
 พวกของคุณประพันธ์ฯ ในพรรคประชาธิเปรต ได้แอบเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งข้อสงสัยว่า เรื่องความเป็นชายสมบูรณ์แบบ เพื่อนของคุณประพันธ์ฯก็บอกว่า 

        พักนี้นายมาร์คฯเปี๊ยนไป เพราะออกลูกห้าว ทำท่าทางขึงขังแบบผู้ชายอย่างเข้มแข็งและตึงตัง อย่างไม่เคยปฏิบัติมาก่อน บรรดาสมาชิกพรรค ต่างพากันตั้งข้อสงสัยว่า ไม่รู้ว่าอีตาคนนี้ แก...

     
   “แอ๊บแมน” หรือเปล่านะ!?

        คำว่า “แอ๊บแมน” นั้น ก็มีความหมายเฉพาะกลุ่ม สำหรับผู้ชายหัวใจสีม่วง เขาเรียกชายแกมหญิงด้วยกัน ที่ทำวางท่าห้าวแกร่งแบบแมน และมีความหมาย เช่นเดียวกัน กับคำว่า…

      
  “เก๊กแมน” หรือ “เก๊กชง”

        อยากจะเรียนท่านผู้อ่านให้ทราบว่า ผมเองไม่สันทัดในเรื่องนี้ เพราะมองไม่ค่อยจะออก แต่มีคนเขาบอกว่า
        ถ้าจะให้รู้ดี ต้องให้พวกเดียวกันเขาดู อย่างอาจารย์เสรีฯ เจ้าตำรับส่งเสริมการขาย เรียนปริญญาโท,เอก แบบ“จ่ายเงินครบ ...จบแน่ๆ” หล่อนยังให้ความเห็น ว่า

        “ผีเท่านั้น...ถึงจะเห็นผี ด้วยกัน!”

        หมายความว่า พวกสีม่วงเท่านั้น ถึงจะมองเกย์ด้วยกันออก
คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ 

        ดูไม่ออกหรอกครับ!! 

        อย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว มีความเห็นส่วนตัวว่า บรรดาบุคคลที่จะขึ้นมาเป็น CEO ประเทศ (นายกฯ) จะเป็น WOMAN CEO หรือ MAN CEO ก็ได้ผมก็จะไม่เกี่ยง…

        ...ไม่เกี่ยงถึงแม้ว่า ผู้นำรัฐบาลจะเป็น AB-MAN CEO ที่มีข่าวไปแนบชิดสนิทแน่น กับพวกวอลล์เปเปอร์ของตัวเอง แบบ ‘ขนชนขน’ ด้วยกัน จนเขาเมาท์กันทั้งเมือง แต่ผู้เขียนก็ยังไม่ใส่ใจ เรื่องใครจะมีใจสมัคร รักใคร่กับเพศเดียวกัน ก็เชิญฉลองกันตามถนัด เพราะคิดว่า...

        ...เรื่อง ‘ตูด’ เรื่อง ‘ก้น’ นั้น เป็นเรื่องของใครของมัน เรื่องเพศรสย่อมเป็นสิทธิส่วนตัว ไม่ขอละเมิด! 

        ขอแต่เพียงว่า...

        เมื่อขึ้นมาเป็น CEO ของประเทศแล้ว ต้องมีความสามารถในการบริหารราชการงานแผ่นดิน มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ ความซื่อสัตย์สุจริต จะต้องไม่ปล่อยให้รัฐมนตรีร่วมคณะ หรือคนรอบตัว...

        สุมกบาลกันก่อทุจริต จนชาติจะฉิบหายวายป่วง อย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ !!!

....................

ท้ายบท ผมเห็นว่า การอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน คงไม่ทำให้นายมาร์ค มุกควาย หนักอกหนักใจเท่าใดนัก แต่การที่โดนพันธมิตร ซึ่งเคยร่วมหัวจมท้ายกันมาก่อน รู้สันดานและข้อมูลทั้งไส้ใน และไส้เน่ากันดี รัวชกท้องกระหน่ำ แบบไม่ยั้งอย่างต่อเนื่อง ที่สะพานมัฆวาน ทั้งเรื่องการบริหารงานแบบขาดวิสัยทัศน์ ขาดประสิทธิภาพ อีกทั้งข้อมูลการทุจริต ที่โผล่ออกมาติดๆกัน แบบมีหลักฐานมั่นคงหลายเรื่อง 

        จึงผู้คนส่ายหน้า พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “รับไม่ได้” กับรัฐบาลกาลีอย่างนี้  


        ในที่สุดรัฐบาลเอง...ก็ไปไม่ไหว!

        หัวหน้าพรรคโลซก แกนนำรัฐบาลกาลี จึงต้องประกาศกำหนดการยุบสภา...เพื่อหนีปัญหา!!

        เพราะขืนอยู่ไป...เสียงก็หดลงทุกวัน!!!

content/picdata/286/data/mark.jpg
        สำหรับเรื่องความนุ่มนิ่ม และพฤติกรรม (แอ๊บ) แมน CEO อย่างที่โดนนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน จนผู้คนได้วิพากษ์วิจารณ์กันสนุกสนาน  

        ผมเลยคิดว่า บางทีเราควรเปลี่ยน ชื่อนายมาร์ค
มุกควาย ที่สะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า

        Abhisit เป็น Ab-hisit

        น่าจะเก๋ไก๋...ไปอีกแบบ!!!

        (***บทความประจำสัปดาห์ ตอน  วูแมน CEO - (แอ๊บ) แมน CEO ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 19 มีนาคม 2554) 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น