วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ความคิดตื้นเขินของอำมาตย์ที่มองเห็นโลกกว้างแค่กำแพงบ้าน
http://proxypy31.appspot.com/u?purl=bG10aC4xMDI5MS1kYWVyaHQvc3UubW9kZWVyZ
nRlbnJldG5pLnd3dy8vOnB0dGg%3D%0A
ถ้าย้อนหลังการเมืองการปกครองไทยไปแค่ปี 2475 ที่เป็นจุดเริมต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทย ซึ่งเป็นไปอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตลอดเวลา 80 ปีที่ผ่านมา

เหตุอย่างหนึ่งที่รับรู้กันก็คือ ระบอบการเมืองเปลี่ยน แต่อำนาจลึกลับที่ทำตัวเป็น "รัฐซ้อนรัฐ" ไม่เคยเปลี่ยน


รัฐซ้อนรัฐที่ทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งต้องทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องผลประโยชน์ให้อำ​นาจลึกลับพึงพอใจ ไม่เช่นนั้น กองทัพซึ่งเป็นเครื่องมืออันทรงพลังของอำนาจลึกลับก็จะจัดการคว่ำกระดานเสีย

 ความคิดที่ว่า ถ้าจะทำให้ประเทศไทยมั่นคงต้องทำให้ประเทศรอบด้านอ่อนแอ
ไทยจึงต้องทำสงครามสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้านมาตลอด 


ในปัีจจุบันไม่สามารถทำสงครามโดยตรงได้ ก็หนุนชนกลุ่มน้อยให้ต่อสู้กับรัฐบาลกลาง (ดังกรณีหลังสุดที่ พม่าประท้วงเรื่องไทยหนุนชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยง )

แพ้ก็โกรธแค้นฝังใจ ดังเช่น การพ่ายแพ้ให้กับพม่า ชนะก็เหยียดหยามว่านี่เคยเป็นเมืองขึ้น ก็คิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ และสอนกันอย่างนี้มาตลอดจนแม้ปัจจุบัน โอกาสที่จะอยู่กับเพื่อนบ้านอย่างมิตร เพื่อแสวงหาประโยชน์ร่วมกันจึงเป็นไปได้ยาก

เมื่อคิดอย่างข้างต้นกรณีเขาพระวิหารจึงยาก เพราะการสูญเสียปราสาทพระวิหาร คือ การแพ้คนที่ตัวเองเคยย่ำยีว่า "ก็แค่เมืองขึ้น" จึงโกรธฝังใจใช่หรือไม่ ? โกรธจนลืมไปว่า แนวเขตที่สร้างรั้วกั้นแล้วใครก็แตะของข้าไม่ได้ กับแนวเขตที่ไร้รั้วเพื่อให้คนสองข้างไปมาหาสู่กันได้สะดวก


โลกในปัจจุบันรับรู้แล้วว่า แนวเขตแบบหลังเอื่้อต่อความผาสุกและการกินดีอยู่ดีของคนในชาติมากกว่า

แต่ด้วยความโกรธ ด้วยสายตาที่ไม่ได้มองไกลไปกว่ารั้วบ้านของอำนาจที่ทำตัวเป็น "รัฐซ้อนรัฐ"

กูจะเอาอย่างนี้ใครจะทำไม ?

ด้วยเหตนี้ การจัดการความขัดแย้งกรณี่ปราสาทพระวิหารภายใต้แนวคิดโบราณจึงมีแต่เสียไม่มีได้ ที่พอจะได้ก็คือ หุ่นกระบอกแถวมัฆวาน ที่หากินหลอกสมุนบริวารมาได้เป็นแรมเดือน


ต้องยึดสันปันน้ำ..... ต้องยึดสันปันน้ำ.....

ถ้าเขมรย้อนกลับว่า เอาจริงหรือเปล่า ?
ถ้าเอาจริงต้องยึดสันปันน้ำตลอดเส้นเขตแดน...จะเอาไหม 
หรือจะเอาเฉพาะตรงที่กูจะได้เปรียบ ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น