วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

โมเดลอำนาจที่ไม่ลงตัวกับพิมพ์เขียวที่ยังไม่ได้เขียน

คิดเหนือข่าว
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3037 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 21 เมษายน 2011
         โดย เรืองยศ จันทรคีรี
 http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=51685    

มาถึงตอนนี้ก็ยังมีการพูดหนาหูไม่เว้นแต่ละวัน จะเลือกตั้ง? จะปฏิวัติ? ใช้อำนาจพิเศษ กระทั่งค่อยตัดทีละประเด็นออกไปมันยังคงมีคนวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปอีก เพียงแต่เป็นเรื่องที่ลือสะพัดว่า “อาจลงเอยด้วยการยุบสภา-แต่ไม่เลือกตั้ง หรือเลือกแล้วก็มีปัญหา?”

ประเด็นตรงนี้ย่อมถือให้เป็น “โมเดลของการปฏิวัติเพื่อริบอำนาจเป็นซีรี่ส์ล่าสุด” ส่วนจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ยังคงต้องติดตามสถานการณ์แบบห้ามกะพริบตา!
หากเราย้อนไปดูพิมพ์เขียวแห่งอำนาจนับตั้งแต่หลังวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา กลุ่มผู้มีอำนาจในด้านลึกและเป็นเครือข่ายเก่าแก่สามารถที่จะยึดอำนาจกลับคืนตามความปรารถนาของตัวเองได้สำเร็จ แม้ต้องลงทุนเปลืองตัวและเสี่ยงต่อการใช้พละกำลังเกินขอบขีดจำกัดก็ตาม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหลายปัจจัยล้วนเป็นเรื่องเกินกว่าการนึกคาด ซึ่งอยู่ในพิมพ์เขียวของตัวเองมาก่อน ตั้งแต่การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจนกระทั่งได้ย้อนเข้าหาตัว เสมือนกับไสยดำเดรัจฉานวิชาที่กินตัวเอง


นอกจากสร้างความเสื่อมโทรมให้แก่ระบบยุติธรรมถูกลากลงเหว ผลข้างเคียงที่รุนแรงยังเกิดปฏิกิริยาแทบกินหัวและกินหางจนกินกลางตลอดตัว แต่ยังคงดื้อรั้นในการใช้อำนาจจากกฎหมายมาเป็นเครื่องมืออย่างย่ามใจ...


กลุ่มอำนาจระดับลึกที่เป็นเครือข่ายยังใช้พิมพ์เขียวเข้าควบคุมบรรดากลไกต่างๆ ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2550 ถูกเขียนขึ้นมารองรับเพื่อวัตถุประสงค์ในการเสียบกลไกของตัวเองเข้าไปปฏิบัติภารกิจที่จะช่วยเสริม “การกุมอำนาจ” ให้มีความหนาแน่นมากขึ้น บรรดาองค์กรอิสระ ซึ่งมักถูกอ้างว่ามีการแทรกแซงจากรัฐบาลชุดพรรคไทยรักไทย แต่มาถึงพิมพ์เขียวใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 มิใช่การแทรกแซงอีกต่อไป หากเป็นการครอบงำและจัดตั้งเพื่อสั่งการสายตรงชนิดเต็มๆ จนสถานการณ์ได้ขับเคลื่อนมาเรื่อยๆ จากการใช้องคาพยพกลไกเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือ สังคมสั่งสมคำถามมากขึ้น มากจนถึงจุดหนึ่ง ก็ทำให้บังเกิดความเสื่อมกับบรรดาองค์กรอิสระต่างๆที่อุตส่าห์มานะพยายามจัดตั้งขึ้นมา...


มาจนถึงการใช้ยุทธการที่ลึกซึ้งเป็น “ลับ-ลวง-พรางในฉบับรัฐบาลจากปั๊มน้ำมัน ปตท. หรือจากค่ายทหาร” พิมพ์เขียวตรงนี้ทำให้อำนาจระดับลึกและเครือข่ายสามารถตะครุบจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นสายตรงของตัวเองขึ้นมา เมื่อแรกเริ่มนั้นต่างยินดีปรีดาสรรเสริญถึงความเป็นคนดีมีศีลธรรมกันทั้งสิ้น ขนาดผู้ใหญ่บางคนซึ่งไม่มีหงอกให้ถอนแล้วถึงกับพูดว่า “ผมเชียร์รัฐบาลชุดนี้”
นั่นเป็นความคาดหวังของอำนาจเบื้องหลังที่ทุ่มเทอย่างสุดจิตสุดใจให้แก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กระทั่งเมื่อผ่านการพิสูจน์ฝีมือในการบริหารบ้านเมืองของคนรูปหล่อสองสัญชาติ แว่วว่าผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งที่คิดย้อนยุคต่างก็ผิดหวัง นายอภิสิทธิ์ไม่อาจทำงานให้บรรลุพิมพ์เขียวได้ ซ้ำเหตุการณ์บ้านเมืองดูจะย่ำแย่เข้าไปทุกด้าน เห็นจะไม่ผิดความจริงนักหากใครจะกล่าวถึง “ความสุขที่หายไปของคนไทย”


ยังมิใช่ความเสื่อมของอำนาจตุลาการที่เกิดจากการอภิวัฒน์อย่างไม่รู้จักขอบเขต? ความเสื่อมสุดในอำนาจบริหารของรัฐบาล อำนาจนิติบัญญัติในสภายังล้มเหลว หมายเหตุจากการยกมือโหวตภายหลังผลอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ได้ชี้ให้เห็นถึงทรรศนะของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่ถือหลักการประคองอยู่ในอำนาจเป็นเพียงเป้าหมาย ไม่สนใจต่อเหตุผลหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน  อำนาจนิติบัญญัติจึงหนีไม่พ้นความเสื่อม


แต่ในที่นี้คงไม่ได้สนับสนุนทฤษฎีนักการเมืองสัตว์นรกตามวาทกรรมของเวทีการเมืองสีเหลือง?  เนื่องจากความจริงนั้นถ้าเราพิจารณาไปถึงพระคาถา “เยธัมมา” ซึ่งถือว่าผลทุกอย่างคงสืบเนื่องมาจากเหตุทั้งสิ้น


มันมีสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับทฤษฎีนักการเมืองสัตว์นรกในซีกรัฐบาล ต่างล้วนเป็นหน่อและดอกผลที่สืบเนื่องมาจากบทบาทการเคลื่อนไหวของการเมืองภาคหลังม่านที่อาศัยมวลชนจัดตั้งโดยปฏิเสธไม่ได้เลย...ความเสื่อมของสภาไทยคงต้องสรุปให้เป็นความน่ากังขาด้วยกลุ่มและวิธีการอันเดียวกัน! เช่นเดียวกัน! เรายังมีความเสื่อมอีกมากมายนักที่เกิดขึ้นในหลายสถาบันสำหรับชาติบ้านเมืองนี้?


สรุปแล้วพิมพ์เขียวที่กู้อำนาจจาก พ.ศ. 2549 แล้วพยายามรักษาเอาไว้มาจนถึง พ.ศ. 2554 แม้จะใช้อำนาจไปอย่างเต็มที่ หากแต่เป้าหมายในพิมพ์เขียวไม่เคยบรรลุ ซ้ำกลับมีความเสื่อมจนผู้คนตาสว่างแทบจะทั้งแผ่นดิน?


เมื่อใช้ทุกกระบวนเต็มพิกัดตามพิมพ์เขียวอำนาจที่คิดจะรักษาไว้ กลับดูเหมือนตนเองจะถูกสั่นคลอนมากขึ้น กลุ่มอำนาจระดับลึกจึงสรุปว่า ขืนปล่อยบ้านเมืองไปแบบนี้คงถึงกาลฉิบหายแน่ น่าจะต้องเว้นวรรคชำระล้างประเทศไทย? 



แต่กลไกที่จะใช้ก็คือทหารซึ่งก็ “เสื่อม” ไม่น้อยไปจากองคาพยพอื่นๆ ทำให้จึงเหลือโมเดลเดียวคือ “ไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง” หรือถ้าจำเป็นต้องเลือกก็ให้มันวุ่นจนประกาศผลไม่ได้? สุดท้ายเกิดประกาศผลได้ก็ต้องทำให้จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ถ้าประชาธิปัตย์เอาชนะศึกครั้งนี้ไม่ได้? 


แต่ถามว่าแล้วจากนั้นจะไปแบบไหนต่อ?...
คนพวกบงการอำนาจก็ตอบไม่ได้ เหลียวไปเหลียวมองคงต้องหันไปหาประชาธิปัตย์ตามเดิม?

*********************

http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น