วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554


ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง
 ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง
 โดย...สอาด จันทร์ดี
            ขุนพลของพรรคเพื่อไทยมีหลายคน / ๑ ในจำนวนนั้น คือ พณฯร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง

            พณฯร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เป็นรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการปรบมือจากผู้รักประชาธิปไตยอย่างเต็มจิตเต็มใจ ไม่มีมือที่เสแสร้งแกล้งยกป้ายเชียร์ แต่เป็นกระแสศรัทธาที่เต็มเปี่ยมจากผู้รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในการใช้ “จิตใต้สำนึกทุบผนังตึกเผด็จการ”โยกย้ายตัวหมากของพวกปฏิกิริยาอย่างไม่รั้งรอ เล่นเอาแผ่นกระดานหมากฮอสสั่นสะท้านตั้งแต่เหนือจรดใต้

            ดูกะระ ดังได้ยินมา เสียงสรรเสริญจากคนเสื้อแดงกระหึ่ม

            ทว่า...เปล่า...ยังไม่พอ ..มันยังมีอีกหลายทะลอกที่จะต้องสำแดงต่อไป

            ประวัติของ พณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตหัวหน้าพรรคมวลชน และ ส.ส.ฝั่งธนบุรีหลายสมัย เป็นขุนพลคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยตั้งแต่เริ่มหาเสียงมาจน

ถึงวันได้ชัยชนะ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔

            เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนพ.ศ. 2490 จบการศึกษาทั้งระดับ ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก จาก คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยรับราชการตำรวจมีตำแหน่งเป็นสารวัตรกองปราบฯ

            ในการทำงานการเมืองเคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และขณะที่กำกับดูแลหน่วยงานแห่งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม มีชื่อเรียกสั้น ๆ จากสื่อมวลชนว่า "เหลิม" หรือ "เหลิมดาวเทียม" เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันดีในแวดวงสื่อมวลชนถึงการควบคุมการนำเสนอข่าวด้วยตนเองของ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งในบางครั้งถึงกับเข้าไปสั่งการในห้องตัดต่อเอง จนคนในช่อง 9 เรียกว่า "บรรณาธิการเฉลิม"     
            สมรสกับ นางลำเนา อยู่บำรุง ผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชน มีบุตรด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน เป็นชายล้วนคือ นายอาจหาญ, นายวันเฉลิม และนายดวงเฉลิม อยู่บำรุง (ภายหลังนายวันเฉลิม และนายดวงเฉลิม เปลี่ยนชื่อเป็น นายวัน และนายดวง ตามลำดับ) ลูกชายทั้งสามก็ถูกเรียกกันทั่วไปว่า "ลูกเหลิม"

            พณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เป็นคุณพ่อที่รักลูกที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง กล่าวคือเมื่อลูกได้รับชะตากรรมอันจะเป็นเหตุให้ชีวิตทั้งชีวิตถูกสังคมครหาก็ได้สละตำแหน่งทางการเมือง กระโดดออกมาช่วยลูกแบบทุ่มสติปัญญาสุดตัว จนสามารถพิสูจน์กู้สถานการณ์ได้อันเป็นการสำแดง “จุดยืน” ที่เป็นต้นแบบของพ่อไทยที่ไม่ทอดทิ้งเลือดในอก เพียงเพราะเห็นแก่ตำแหน่งอันทรงเกียรติแห่งตน

            ปฏิบัติการของ “เฉลิม อยู่บำรุง” คือพ่อตัวอย่างโดยแท้

            พณฯ เฉลิม มีน้องชายที่เล่นการเมืองท้องถิ่น เป็น ส.ก.หลายสมัยคือ นวรัตน์ อยู่บำรุง ส.ก.เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร

            พณฯร.ต.อ.เฉลิม เป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองที่โดดเด่นด้านการพูดและลีลาการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรที่สามารถโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเชื่อได้ และหลายครั้งมีการใช้คำพูดที่ฟังดูรุนแรง ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม เคยกล่าวถึงตัวเองไว้ว่า "ไปทะเลเจอฉลาม มาสภาเจอเฉลิม"

            ในช่วงที่ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯได้ให้ฉายาว่า "เป็ดเหลิม" ซึ่งเปรียบเทียบว่า ร.ต.อ.เฉลิมกับเป็ดทำหลายอย่างได้ แต่ไม่สามารถทำได้ดีสักอย่าง หรือเรียกว่า "ไอ้ปื้ด" ซึ่งเป็นบุคคลนิรนามที่มาจากคำกล่าวอ้างของเฉลิมเพื่อปัดคนทำผิดแทนลูกของเขา

            แต่ท้ายสุด สนธิ ลิ้มทองกุล ก็มิอาจเติมแต่งเรื่องราวให้เฉลิมบอบช้ำได้

            ตรงข้าม ตัวของสนธิ ลิ้มทองกุล กลายเป็นหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งบนถนนนักเคลื่อนไหวนะซี

            มิใช่แต่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เท่านั้นที่กลายเป็นหมาขี้เรื้อน แม้แต่คนงามๆในสังคมที่เคยโจมตีเฉลิมอย่างสาดเสียเทเสียก็พลอยเสียรังวัดไปตามนายสนธิ (ลิ้ม) จนกู่ไม่กลับไปด้วย

            พณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เริ่มต้นชีวิตทางการเมืองด้วยการเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในปี 2526 ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 ได้ก่อตั้ง พรรคมวลชน และดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค โดยมีฐานเสียงสำคัญในพื้นที่กรุงเทพมหานครฝั่งธนบุรี โดยเฉพาะขตภาษีเจริญและเขตบางบอน ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม เป็น ส.ส. ผูกขาดในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เคยไม่ได้รับเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว คือในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นครั้งแรก

            ร.ต.อ.เฉลิม เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล ล.อ.ชาติชาย ชุนหะวัณ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแล องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) บทบาทของ ร.ต.อ.เฉลิม มีปัญหาขัดแย้งกับกลุ่มทหาร จนถูกนำมาเป็นเหตุผลประการหนึ่ง ในการทำ รัฐประหาร ปี พ.ศ. 2534 ของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ภายหลังการรัฐประหารดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ถูกกล่าวหา และถูกยึดทรัพย์จำนวน 32 ล้านบาท  และต้องขอลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศ โดยเดินทางไปพำนักอยู่ที่ประเทศสวีเดนและประเทศเดนมาร์ก

            ต่อมาเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย ร.ต.อ.เฉลิม ได้กลับเข้าประเทศไทย และได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา และต่อมา ในปี พ.ศ. 2540 ตัดสินใจยุบพรรคมวลชนรวมเข้ากับ พรรคความหวังใหม่ ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น หลังจากนั้นบทบาททางการเมืองของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็เงียบหายไประยะหนึ่ง

            บทบาทการเป็นฝ่ายค้านของ ร.ต.อ.เฉลิม ในพรรคชาติไทย มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย เรื่อง สปก.4-01ซึ่งส่งผลให้ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต้องตัดสินใจยุบสภาก่อนที่จะมีการลงมติไม่ไว้วางใจและเหตุการณ์ดังกล่าวยังถูกนำมาใช้อ้างอิงเพื่อโจมตีทางการเมืองต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด

            ขึ้นชื่อว่าร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงใน พ.ศ.นี้ คงยากที่จะหาคนไม่รู้จัก  ยิ่งมาถึงยุครัฐบาล ฯพณฯ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของแผ่นดินสยาม นามของ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ยิ่งโดดเด่นงดงาม โดยเฉพาะได้แก่กลุ่มคนเสื้อแดงพากันเป็นมิตรกับเฉลิมอย่างท่วมท้น
            ส่วนในพ.ศ.ก่อนๆ จะรู้จักแบบไหนอย่างไร อาจจะแตกต่างกันออกไปตามภววิสัยในจุดยืนของกลุ่มที่ขัดแย้งที่แตกต่าง รวมทั้งมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ไม่เหมือนกัน กล่าวคือพวกที่เป็นอำมาตย์ใหญ่ก็จะประณามเฉลิมอย่างสาดเสียเทเสีย ยิ่งเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พากันถือว่า “เฉลิมคือตัวอันตราย” จึงได้โหมใส่ไข่ ใส่สีเพื่อจะทำให้เฉลิมได้รับความเสียหาย แอบกล่าวหาว่าเฉลิมเป็นคนไม่ดี




            พณฯ ร.ต.อ.เฉลิมอยู่บำรุง เริ่มแสดงร่วมการมีอำนาจตั้งแต่เป็น สิบโทเฉลิมอยู่บำรุงเป็นสารวัตรทหารในหน่วยของ พ.อ.สาคร กิจวิริยะ (สห.มทบ. 11) ซึ่งเป็นนายทหารรุ่น จปร.7 รุ่นเดียวกับ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจรและพล.ต.จำลอง ศรีเมืองต่อมาได้ย้ายมาเป็นตำรวจจนได้รับยศร้อยตำรวจเอกเป็นตำรวจกองปราบมีชื่อดังจนเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์หลายฉบับไม่ว่าการเข้าไปจัดการแหล่งบันเทิง ในโรงแรมแอมบาสซาเดอร์หรือเรื่องการจับเพชรที่เยาวราชที่คุณสอน สุขบรรจงอดีตประธานชมรมนักข่าวอาชญากรรมมีเครื่องช่วยจำให้น้องๆ นักข่าวรุ่นหลังได้รับรู้ซึ่งจัดการแบบไหน ในแต่ละเรื่องคนที่จดจำได้ดีต้องไปถาม พณฯร.ต.อ.เฉลิมแต่คนที่จดจำจนวันตายคือเจ้าของธุรกิจนั่นเอง


             พณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุงมีคำพูดทีใช้อยู่ประจำคือคำว่า แอ๊คท์อาร์ต (Act art) ซึ่งคำว่า แอ๊คท์แปลว่า แสดง ส่วนอาร์ต แปลว่าศิลปะเมื่อมารวมกันก็เป็นศิลปะการแสดงหรือศิลปะการแสดง  เมื่อรวมคำพูดแล้วเราก็จะเข้าใจความหมายโดยไม่ยาก       



            พณฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงเป็นแบบอย่างที่ดีหลายอย่าง ที่คนเอาไปพูดต่อๆ ได้ว่า นักการเมืองคนนี้ของจริงพูดคำไหนคำนั้นและในวันนี้ยิ่งเห็นชัดมากขึ้น


            ฯพณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เป็นนักการเมืองที่ตะโกนเสียงดังว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีความผิดใดๆ แต่ต้องตกระกำลำบาก เพราะถูกอำนาจมืดเล่นงาน แล้วก็ประกาศเสมอว่าถ้าได้เป็นรัฐบาลจะเอาท่านทักษิณกลับประเทศไทย ประกาศแล้วประกาศอีก


            จะนำทักษิณ กลับประเทศไทย...
         
            ใช่แล้วครับ ขุนพลของพรรคเพื่อไทยมีหลายคน แต่อันดับที่ ๑ คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับ “รองนายกรัฐมนตรี” รับผิดชอบตำรวจทั่วประเทศ และยังเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี อีกด้วย

            พีเพิ่ล แชนเนิ่ล ออนไลน์ อยากส่งถ้อยคำหลายทะลอกไปสู่พวกปฏิกิริยาให้ได้ร่วมรับรู้ว่างานการ

            เมืองที่เฉลิมกำลังปฏิบัติการอยู่ในขณะนี้ มิใช่การล้างแค้นอย่างแน่นอน แต่เป็นการ “ปรับเปลี่ยน” ตัวหมากที่วิ่งอยู่บนกระดาน ที่ขัดขวางการพัฒนาประเทศ ด้วยการหยิบเอาบุคลากรที่พรรคเพื่อไทยสามารถสบายใจได้ เอามาเสริมการทำงาน   เพื่อความมุ่งหวังที่จะยกระดับประเทศไทยของเราให้ก้าวพ้นวิบากกรรมอันโสมมให้ได้ ดังที่กำลังดำเนินการอยู่ในห้วงเวลานี้

            จะปรับเปลี่ยนได้ก็ต้องย้ายตัวขวางให้พ้นทาง

            ทั้งนี้โปรดอย่าลืมว่าช่วงเวลา ๕ ปีผ่าน...ประเทศของเราได้ถูกพวกปฏิกิริยาทำลายกระบวนการสร้างชาติแทบจะย่อยยับ จนเป็นเหตุให้คนไทยแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายแทบว่าจะเป็นไทยเหนือไทยใต้ ถ้าไม่มีการแก้ไข คงไม่พ้นจะเกิดสงครามร้ายแรงเหมือนลิเบีย

            พวกปฏิกิริยาคงไม่เชื่อ...เพราะพวกเขาดักดานหลายทะลอกเหลือเกิน?
            การโยกย้าย พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็น ๑ ในกลยุทธ์ขั้นต้น

            การสั่งให้โยกเก้าอี้ “ถวิล เปลี่ยนสี” เป็นอีกกลยุทธ์อย่างไม่มีทางเลี่ยง

            กรณีของ “ถวิล” ที่ถวิลหาความเป็นธรรม ประกาศจะฟ้องนายกรัฐมนตรีนั้น ชาวบ้านเขาถามกลับไปยังคุณถวิล เปลี่ยนสีว่า ในวันเวลาที่คุณนั่งเป็นใหญ่ในหอคอยงาช้าง   คุณเห็นเขาไล่ฆ่าคนเสื้อแดเต็มตาทั้งสองข้าง   ตาคุณบอดหรืออย่างไร จึงไม่ยอมประกาศห้ามทหารว่าอย่าฆ่าคนในชาติเดียวกัน

            ถวิลเอ๋ย ? โทษของคุณมันหนักสาหัสสากรรจ์เกินกว่าจะบรรยาย ที่คุณลืมความเมตตา ลืมความกรุณาและลืมความรู้สึกว่า คนที่เขาถูกฆ่าตาย เขาย่อมจะมีความวิปโยคแสนสาหัส

            คุณไม่ได้ตายด้วย..คุณไม่มีวันรู้ เพราะจิตของคุณมันหยาบกระด้าง ไร้ความสงสาร
            ใจของคุณไม่แตกต่างจากหัวใจของ “หมาใน” ที่ไล่ล่าเนื้ออยู่กลางป่า
            ใช่...คุณอาจจะชนะคดีการพิทักษ์คุณธรรมให้แก่ข้าราชการของแผ่นดินสยาม
            ถ้าคณะผู้พิจารณาคดีนี้ ยกย่องคุณ...ก็จงเป็นชัยชนะของคุณไปเถิด

            แต่บนความจริงก็คือ มีคนถูกฆ่าตายเหมือนแมวข้างกำแพงวัด และคนที่ตายเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มือเปล่า ไม่มีอาวุธที่จะยิงสู้กับสัตว์นรก....แล้วจะให้เขาตายฟรี พร้อมกับเป็นบันไดให้คุณได้ไต่เต้าขึ้นไปเป็นมหาเสนาบดีอย่างนั้นหรือ ?!

          เราจึงยกย่อง พณฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ที่กล้าหาญสับเปลี่ยนอย่างไม่หวาดวิตก !
                                                 สอาด จันทร์ดี
                                                                 ๙ กันยาน ๒๕๕๔
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น