วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554


ศาลโลกให้ใช้มาตรการคุ้มครองชั่วคราว
โดย...ดร. พิทยา พุกกะมาน

           การตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกให้ใช้มาตรการคุ้มครองชั่วคราวโดยให้ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหารนั้น ได้ทำให้กลุ่มการเมืองและนักวิชาการออกมาวิพากย์ วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งรวมถึงผู้ที่รู้เรื่องฯ จริง ผู้ที่รู้เรื่องไม่จริงแต่ทำเป็นรู้ และผู้ที่รู้แล้วแต่ทำเป็นไม่รู้เพราะต้องการสร้างกระแสคลั่งชาติเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง จนทำให้ประชาชนรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่าประเทศไทยควรจะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลกหรือไม่
             
            หากปฏิบัติตามแล้วไทยจะเสียดินแดนหรือเสียสิทธิหรือไม่และแค่ไหน ผู้ที่ออกมาอ้างว่าคำตัดสินของศาลโลกทำให้ไทยเสียเปรียบนั้นมักจะอ้างว่าพื้นที่ซึ่งไทยจะต้องถอนทหารออกไปนั้นเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อไทยและการตีกรอบพื้นที่ปลอดทหารของศาลโลกนั้น เป็นการล้ำดินแดนของไทยมากเกินไปซึ่งจะมีผลให้ไทยเสียดินแดนในที่สุด
การกำหนดท่าทีของไทยต่อข้อตัดสินฯ ของศาลโลกนั้น จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและภาพพจน์ของไทยในสายตาของประชาคมโลก จริงอยู่ เราต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยเพราะคนไทยทุกคนรักชาติทั้งนั้น ไม่มีใครที่ไม่รักชาติ แต่เรื่องการต่างประเทศนั้นไม่ไช่เรื่องของชาตินิยมเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ของชาติ

                 ความถูกต้อง การดำรงอยู่กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสันติ การปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบในฐานะที่เราเป็นสมาชิกสหประชาชาติ การเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และการทำตนให้เป็นที่ยกย่องและเชื่อถือในประชาคมโลก การปฏิบัติตามมติของศาลโลกนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำในฐานะที่ไทยเป็นภาคีสหประชาชาติ เพราะมาตรา 94 ของกฎบัตรสหประชาชาติบัญญัติว่า ประเทศภาคีสหประชาชาติมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามมติของศาลโลก และในวรรค 2 ของมาตรา 94 ก็ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า หากประเทศภาคีที่เป็นคู่กรณีไม่ปฏิบัติตามมติฯ คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งสามารถร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่งคงสหประชาชาติเพื่อให้มีมติบังคับให้ประเทศภาคีอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตาม ซึ่งหมายความว่า หากไทยไม่ยอมปฏิบัติตามมติของศาลโลกโดยอ้างว่า “จะไม่ทำเสียอย่างใครจะมาว่าอะไร” แล้ว ผลที่จะตามมาก็คือ ไทยจะถูกบีบคับคับให้ปฏิบัติตามมติฯ จากสหประชาชาติและจะถูกสังคมโลกประณาม ซึ่งจะส่งผลในทางลบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในขณะที่กัมพูชาก็จะพูดอย่างภาคภูมิใจว่าเขาเคารพกฎหมายระหว่างประเทศแต่ยังถูกฝ่ายไทยรังแกและเอาเปรียบ

             หากจะพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว มติของศาลโลกมิได้ทำให้ไทยเสียเปรียบเลยเพราะศาลโลกให้ทั้งสองฝ่ายถอนทหารออกจากเขตปลอดทหาร ไม่ใช่ให้ไทยถอนฝ่ายเดียวดังที่กัมพูชาร้องขอ แต่ก่อนที่จะมีการถอนทหารไทยออกจากพื้นที่รอบนอกตัวปราสาทที่ศาลโลกกำหนดนั้น จำเป็นต้องมีการพูดคุยกับกัมพูชาในเรื่องรายละเอียดในระดับรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายก่อน ซึ่งก็จะมีประเด็นเรื่องพลเรือนชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดทหาร เรื่องที่กัมพูชาเสนอให้กองกำลังตำรวจเข้ามาแทนที่ทหาร เรื่องกลไกที่จะดูแลการถอนทหาร เรื่องการให้ผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ฯ และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย

              นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง บรรยากาศทางการเมืองระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้ผ่อนคลายไปในทางที่ดี จึงเป็นที่คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทยคงจะสามารถทำการเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาได้เป็นผลสำเร็จบนพื้นฐานของความเป็นมิตรฉันท์เพื่อนบ้านและผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเป็นที่เข้าใจว่ามาตรการคุ้มครองนี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเท่านั้นไม่ไช่มาตรการถาวร จนกว่าจะมีการตีความในเรื่องขอบเขตของพื้นที่รอบนอกปราสาทพระวิหารโดยศาลโลกในขั้นต่อไป
                    
                                          เขียนโดย ดร.พิทยา พุกกะมาน
                                                           อดีตเอกอัครราชทูต
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น