วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554


เปิดโปงขบวนการล้มประชาชน
โดย สุนัยน้อย


  ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากแหล่งข่าวที่ไม่อาจจะเปิดเผยได้คือ คุณผู้หญิง ที่มีชื่ออักษรย่อ จจ. ผู้โด่งดังในวงการการเมืองได้กล่าวกับคนใกล้ชิดว่า “มีเวลาให้รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ฮันนี่มูน แค่หกเดือน” ซึ่งก็สอดรับกับข่าวลับจากในห้องประชุมของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ที่นายสุเทพ ได้พูดว่าไม่เกินหกเดือน พวกเราจะกลับไปเป็นรัฐบาลอีก เพราะมีคนไม่ชอบรัฐบาลนี้ พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นเพดานประกอบการพูด

ชัยชนะจากการเลือกตั้ง ของพรรคเพื่อไทยเป็นเรื่องที่อำมาตย์คาดไม่ถึงเพราะอำมาตย์เชื่อในเครื่องมือของตนคือระบบราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และทุนอำมาตย์ที่จ่ายสปอนเซอร์เลี้ยงสื่อ จึงเชื่อว่าจะหลอกลวงประชาชนได้ให้ลงคะแนนแก่พรรคลูกสมุนอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ และ ภูมิใจไทย เพื่อให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้อีก

ทั้งอำมาตย์ก็ยินยอมให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้เงินงบประมาณจากเงินกู้ 926,000 ล้านบาท ท่ามกลางเสียงกล่าวหาโกงกินและซื้อเสียงประชาชนล่วงหน้า
แต่ความฝันของอำมาตย์ก็พังทลาย เพราะความคิดชี้นำของเขาอยู่บนพื้นฐานว่าประชาชนโง่และหิวเงิน ดังนั้นชัยชนะการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยจึงแยกไม่ออกจากความตื่นตัวตาสว่างของประชาชน
ชัยชนะนี้จึงถือว่าเป็นชัยชนะของประชาชน

ชัยชนะของประชาชนทำให้อำมาตย์ตื่นกลัวและทำใจไม่ได้และหาทางสกัดการจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนในรูปการต่างๆ ดังปรากฏการณ์ที่เป็นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดตั้งแต่วันแรกที่ปรากฏผลการเลือกตั้งจนถึงวันประชุมสภาเมื่อวานนี้( 1 ก.ย.)
จึงขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและอย่าวางใจเพราะเนื้อแท้ของอำมาตย์ไม่ชอบประชาธิปไตยไม่ชอบความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของมนุษย์ คือ
1. เริ่มต้น กกต. ก็เตะสกัดคุณยิ่งลักษณ์ และ แกนนำ นปช. โดยจะไม่รับรองผลแห่งชัยชนะ(อย่าลืม กกต. ตั้งโดยคณะรัฐประหาร พวก กกต. คือสมุนอำมาตย์ตัวจริง) แต่จากสายตาของต่างประเทศที่จ้องมองดูและความตื่นตัวของประชาชนที่เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทำให้ กกต. ต้องปล่อยผ่านไปก่อนอย่างเสียไม่ได้ ดังจะเห็นได้ชัดคือ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ได้รับรองเป็น ส.ส. คนสุดท้ายและนาทีสุดท้ายก่อนเปิดประชุมสภา

2. ในการจัด ครม. และ ประธานสภาผู้แทนราษฎร (ในนามประธานรัฐสภาซึ่งเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ) คุณยิ่งลักษณ์ได้ถูกกดดันอย่างหนักไม่ให้คนเสื้อแดงเป็นประธานรัฐสภาและรัฐมนตรี จึงเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝัน(แต่เป็นไปได้และเคยเป็นมาก่อนหน้านี้) คือพระบรมราชโองการณ์โปรดเกล้าฯ มาไม่ถึงพรรคเพื่อไทยในหมายกำหนดการ เวลา 17.00 น. ของวันที่ 5 ส.ค. 54 และ ตามความเป็นจริงโผ ครม. ต้องถูกปรับใหม่อีกครั้งหนึ่ง จนไม่เหลือแดงใน ครม. แม้แต่คนเดียว
ในระหว่างเย็นวันที่ 5 – 8 ส.ค. นั้นก็มีข่าวลือวงใน(ไม่กล้ายืนยัน) ว่าคุณยิ่งลักษณ์ถูกเรียกตัวไปพบคนสำคัญคนหนึ่งอย่างเงียบๆ แล้ว ครม. ก็คลอดออกมาในจุดที่ลงตัวเข้าสู่กระบวนการแถลงนโยบายในสภา
3. สัญญาณเตรียมทำลายรัฐบาลจากการแถลงนโยบาย : พรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ได้แสดงบทบาทบ่งบอกถึงอารมณ์ของอำมาตย์ที่ต้องการทำลายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะตลอดสองวันของการอภิปรายคือ วันที่ 23 – 24 ส.ค. ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามจะรักษาบรรยากาศ สงบเรียบๆ ให้จบภายในสองวัน เพื่อเร่งทำงาน
แต่พรรคลูกสมุนอำมาตย์ทั้งสองกลับก่อสถานการณ์โต้เถียงอย่างรุนแรง โดยฝ่ายรัฐบาลไม่อาจจะเงียบได้ต่อไป คือ การชูประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นโจมตีพรรคเพื่อไทยและ ส.ส.ที่เป็นแกนนำ นปช.ในวันแรกพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้จุดพลุการโจมตี ส่วนวันที่สองเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ อำมาตย์ใช้นายชวน หลีกภัย เป็นผู้จุดพลุ นายชวน ทำตัวเสมือนหนึ่งทหารเลวร้องด่าหน้าค่ายก่อนบุกโจมตี พอนายชวน ดาบหนึ่งฟาดแล้ว นายนิพิฏฐ์ ส.ส. พัทลุง(ลูกศิษย์นายชวน) วิ่งเข้าฟาดฟันต่อแล้วตามด้วยขุนทหารผู้กักขฬะ(ถ่อย)นายสุเทพ เทือกสุบรรณ วิ่งไล่ทุบตีจนสภาล่ม
บรรยากาศและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาสองวันนี้ปฏิเสธเป็นอื่นไม่ได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของแผนการทำลายล้างรัฐบาลนี้ด้วยการใส่ร้ายป้ายสีและใช้มาตลอดหกสิบปีคือ “ขบวนการล้มเจ้าและรัฐบาลเป็นผู้ไม่จงรักภักดี”

4. เริ่มเปิดประชุมสภาปกติก็ยังไม่หยุดใส่ร้ายเรื่องเจ้า : ในการประสภาเมื่อ 1 ก.ย. ส.ส. ธวัชชัย อานามพงษ์ ซึ่งดูหน้าแอ๊บแบ๊วเหมือนคนบริสุทธิ์ ปกติไม่ใช่เป็นตัวอภิปราย ก็ถูกจัดวางให้ลุกขึ้นมาหารือ โดยอ้อนวอนขอร้องว่ารัฐบาลอย่ารังแก พล.อ เปรม ประธานองคมนตรี

ซึ่งความเป็นจริงทางการเมืองใครก็รู้ว่าฐานะของ พล.อ. เปรม มีความยิ่งใหญ่ มีขุนทหารที่เป็นลูกป๋าทั้งที่เกษียณอายุ และยังรับราชการอยู่ล้อมรอบปกป้องไม่รู้กี่ชั้น ใครจะไปรังแก พล.อ. เปรม ได้

และ ห้าปีที่ผ่านมามีแต่ พล.อ. เปรม จะไปรังแกคนอื่นด้วยการใช้มือที่มองไม่เห็นสั่งการ ศาล ทหาร ตำรวจ เล่นงานใครต่อใครที่เห็นว่าเป็นศัตรู ถ้าใครไม่เชื่อก็ให้ไปถามอดีตนายกฯสมัคร(หกากตามไปถามท่านได้) อดีตนายกฯสมชาย อดีตนายกฯทักษิณ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่อย่าง พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็จะรู้ความจริงทั้งหมด

การจุดประเด็นของ ส.ส.ธวัชชัย ในเรื่องนี้ก็เป็นแผนเดียวกันของขบวนการล้มรัฐบาลประชาธิปไตยคุณยิ่งลักษณ์หรือขบวนการทำใจไม่ได้ของอำมาตย์

5. การขับเคลื่อนมวลชนขั้นเตรียมการ : นับตั้งแต่สิ้นสุดการเลือกตั้งก็เกิดการเคลื่อนไหวมวลชนของเหล่าสมุนอำมาตย์ ภาคองค์กรมวลชนที่เป็นแกนนำเสื้อเหลืองผู้สนับสนุนการรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ที่แปลงกายเป็นเสื้อหลากสี เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ จุดประเด็นตั้งแต่คุณสมบัติของคุณยิ่งลักษณ์ไม่ชอบเป็นนายกไม่ได้

แจ้งความจับ รมว.ต่างประเทศ นายสุรพงค์ โตวิจักษ์ชัยกุล ตั้งแต่ก่อนแถลงนโยบายยังไม่ได้เริ่มงานจนถึงนำมวลชนมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในวันแถลงนโยบาย

รวมถึงกลุ่มมวลชนในภาคใต้ยกกำลังมาปิดถนนเพชรเกษม ที่ จ.ชุมพร ในนาม ปฏิบัติการเพชรเกษม 41 เพื่อต่อต้านนโยบาย เม็กกะโปรเจ็คต์ของรัฐบาลในภาคใต้ ตั้งแต่รัฐบาลยังไม่ได้เริ่มทำงาน

การมองประเด็นการเคลื่อนมวลชนนี้ต้องมองให้สัมพันธ์กับนโยบายมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แถลงว่าจะจัดขบวนการใต้ดินอบรมทางการเมืองเพื่อต่อต้านขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองของพรรคเพื่อไทย

ซึ่งจะเห็นได้ว่าสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวในสภาของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยที่กล่าวมาข้างต้น

ที่กล่าวข้างต้นทั้งหมดเป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นอ้างอิงได้ แต่การวิเคราะห์สถานการณ์จำเป็นจะต้องนำข้อเท็จจริงเหล่านี้ประสานกับข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากแหล่งข่าวที่ไม่อาจจะเปิดเผยได้คือ คุณผู้หญิง ที่มีชื่ออักษรย่อ จจ. ผู้โด่งดังในวงการการเมืองได้กล่าวกับคนใกล้ชิดว่า “มีเวลาให้รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ฮันนี่มูน แค่หกเดือน” ซึ่งก็สอดรับกับข่าวลับจากในห้องประชุมของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ที่นายสุเทพ ได้พูดว่าไม่เกินหกเดือน พวกเราจะกลับไปเป็นรัฐบาลอีก เพราะมีคนไม่ชอบรัฐบาลนี้ พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นเพดานประกอบการพูด
แหล่งข่าวลับที่กล่าวอ้างนี้ แม้จะไม่สามารถอ้างอิงบุคคลได้แต่ก็สอดคล้องเหตุการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นทั้งหมด
สองเดือนของสถานการณ์การเมืองไทยตัวแสดงของเหล่าลูกสมุนอำมาตย์ได้แสดงบทบาทด้วยอัตราเร่งสูงอย่างมีนัยสำคัญทางการเมืองจึ งขอให้พี่น้องประชาชนผู้รักความเป็นธรรมและรักประชาธิปไตยต้องเตรียมการปกป้องระบอบประชาธิปไตยไม่ให้ถูกทำลาย

แม้จะเป็นเรื่องยากแต่ก็จะต้องช่วยกันทำ งานพื้นฐานที่ประชาชนทำได้ทุกคน
1. เร่งจัดตั้งกันขึ้นในหมู่เพื่อนฝูง เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกันขึ้นเป็นองค์กร ทั้งขนาดเล็ก และขนาดกลาง
2. จากการจัดตั้งองค์กรไปสู่การจัดตั้งความคิดในการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
3. จากการจัดตั้งความคิดนำไปสู่การจัดตั้งการปฏิบัติการซึ่งเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายโดยเผยแพร่ข่าวสารอย่างเป็นระบบ เช่น นำบทวิเคราะห์สถานการณ์นี้ไปโพส์ที่ เวบต่างๆ ให้กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือ นำไปออกอากาศที่วิทยุชุมชนต่างๆ รวมทั้งนำไปพิมพ์แจกให้แก่บุคคลที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เป็นต้น

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 9/04/2011
07:27:00 ก่อนเที่ยง Share on Facebook
ที่มา : ThaiEnews
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น