วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โฆษณา-กาลี...อัปรีย์สุดขีด!!!


วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        มื่อต้นสัปดาห์นี้ เว็บไซด์ต่างๆ รวมถึงสื่อมวลชนอื่นๆ ได้พากันวิพากษ์วิจารณ์โฆษณาชิ้นหนึ่ง ซึ่งได้สร้างความขัดเคืองให้กับประชาชนผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ
content/picdata/282/data/seat.jpg
        โฆษณาชื่อ ‘อะมิโนพลัส’ ของบริษัทน้ำดื่มค่ายโออิชิ ที่ทะลึ่งไปติดป้ายบนรถไฟฟ้า BTS ว่า

     
 "สำรองที่นั่งสำหรับ...คนขาว"‏

        ข้อความดังกล่าวนำมาซึ่งอาการ “เม้าท์แตก” เกิดขึ้นในแวดวงต่างๆ มีวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีการชักชวนกันไม่ให้ซื้อสินค้าดังกล่าว ซึ่งท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยเห็น สามารถหาดูได้จากเว็บพันทิพและอื่นๆ
        ผมเองเคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์งานโฆษณา ตั้งแต่ยังอยู่ค่าย “ผู้จัดการ” (manager.co.th)บางชิ้นที่ผมเห็นว่ามันไม่เข้าท่าหรือ “ห่วยแตก” ทำลายความรู้สึกของผู้คน และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น โฆษณาบางชิ้น ก็ยังดันเป็นงานของหน่วยงานราชการด้วยซ้ำไป

       
เหตุที่ต้องวิจารณ์หนักหน่วง แบบต้อง “ทุบกันให้แหลก” เพราะหากปล่อยไว้จะเป็นผลเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสังคม หรือกับเยาวชน ลูกหลานของคนในชาติของเรา

      
จะละไว้หรือมองข้าม...ไม่ได้เด็ดขาด!
        อยากจะยกมารื้อฟื้นความทรงจำ ให้กับท่านผู้อ่าน ชิ้นแรกคือโฆษณาของ “บริษัทการบินไทยจำกัด (มหาชน)”  เกี่ยวกับการกระตุ้นเชิญชวนประชาชน “ซื้อหุ้น” ของบริษัท ซึ่งออกฉายเมื่อปี พ.ศ.2548

      
ภาพโฆษณาฉายให้เห็น หญิงชายคู่หนึ่งนั่งติดกันในสนามบิน ผู้จะโดยสารเครื่องบินคนอื่นๆ นั่งกันเต็มห้องพักผู้โดยสาร มีเสียงเรียกพาสเซ็นเจอร์ออนบอร์ด หรือผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ดังกังวานขึ้น

       
ผู้โดยสารอื่นเขาลุกขึ้นเดินไปประตูทางออก จะไปขึ้นเครื่อง ที่ห้องพักผู้โดยสารคงเหลือหนุ่มสาวคู่นี้นั่งเฉยอยู่     

       
ฝ่ายหญิงหันคอเอี้ยวหน้ามาทางฝ่ายชาย เอ่ยถามขึ้นว่า
     

     
 “จองตั๋วหรือยัง?”    

      
ฝ่ายชายทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตอบว่า     

     
 “ยัง”     

      
ภาพแช่นิ่งนิดหนึ่ง ฝ่ายหญิงหันกลับมาถามอีก ว่า     

      
“จองหุ้นการบินไทยหรือยัง?”     

      
ฝ่ายชาย ตอบทื่อมะลื่อว่า     

     
 “ยัง”     

      
ต่อไปนี้สำคัญคือ...

      
พอฝ่ายชายตอบจบ ภาพตัดวูบ มืดไปสองวิฯ ระหว่างความมืดมีเสียงดัง

        ‘เพียะ!’

        (คล้ายเสียงฝ่ามือกระทบหน้า ของกริยาคือการ ‘ตบ’ )     

       
สว่างขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏภาพ...     

       
ฝ่ายผู้ชายมีรอยนิ้วมือเป็นปื้นที่หน้า ห้านิ้วครบ แต่ยังดันนั่งทำหน้าโง่ ตาปะหลับปะเหลือก มือลูบคลำแก้ม ฝ่ายหญิงนั่งทำหน้าตูบ แล้วเมินไปอีกทางหนึ่ง!!       


      
(มีเสียงประกาศ เชิญชวนให้จองหุ้นการบินไทยติดตามมา)     

     
 ผมไม่เข้าใจเลยว่า...ทำไมถึงมีการนำเสนอกันอย่างนี้!!!?
        ดูภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้แล้ว ต้องปลงอนิจจัง บอกกับเพื่อนที่นั่งดูด้วยว่า ประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเขาคิดโฆษณาอย่างนี้ได้อย่างไร หัวคิดดีจริงๆ     

       
เพราะเขาทำให้ฝ่ายชายนั้นดู “โง่” ได้มากที่สุดในโลก     

     
 หนอยแน่!...ดันอุตส่าห์พาเมียมาถึงสนามบิน จะขึ้นเครื่อง แต่...ตั๋วก็ยังไม่ได้ซื้อ!!     

       
ฝ่ายหญิงผู้เป็นภริยา กริยามารยาทก็ช่างทรามเหลือกำลังรับ กำลังลาก เพราะแค่ผัวหรือแฟนตัวเอง ไม่ได้จองหุ้นการบินไทย ก็ลงมือตบตีทำร้ายผัวกลางสนามบิน ซึ่งเป็นที่สาธารณะเข้าให้แล้ว        

       
ผมไม่รู้ว่าเขา จะสื่ออะไรกันกับท่านผู้ชม ? แต่หากให้ฝรั่งดู เขาคงบอกว่า       

       
ผู้ชายไทยบ้านยูโง่บัดซบดีจังเลย ไอเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยเห็นคนอะไรมันถึงโง่ได้เด็ดขาดอะไรอย่างนี้วะ!       

       
และคงวิจารณ์ว่าผู้หญิงไทยนั้น โหดเหี้ยมและใจร้ายมาก คงจะมีนิสัยคล้ายฆาตกรหรือคนร้ายที่นิยมแต่ความรุนแรง และฝรั่งคงจะพูดต่อว่า       

     
 “...ถ้าจะให้ไอเอาผู้หญิงไทยมาเป็นเมีย คงต้องตอบว่า

       
โน! โน ! ไอกลัวว่ะ เพราะแค่ดูโฆษณาของสายการบินระดับชาติของยู ไอก็อกสั่นขวัญแขวน ฉี่แทบราดแล้ว...       

       
...ฮุ้ย! ผู้หญิงบ้านยูนี่ เป็นลูกหลานยักษ์มาร หรือ มิสเตอร์ ซีอุย มาเกิดหรือไงกันน่ะ!?”
     

     
 ดุบรรลัยเลย!      
        ถ้าจะให้ผมให้เรทติ้งภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ เลียนตามตำแหน่งที่นั่งของผู้โดยสารเครื่องบิน ว่าควรจะให้นั่งที่ใด หรือสมควรจะให้อยู่ในชั้นไหน First Class, Business Class, หรือ Economy Class ?      

       
ผมก็ต้องขอตอบ อย่างไม่ต้องลังเลเลยว่า

       
เห็นโฆษณาอย่างนี้ไม่ต้องให้นั่ง First Class, Business Class, หรือ Economy Class แล้ว เพราะไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง       

       
แต่โฆษณาหัวคิดแปลกประหลาดอย่างนี้ ผมจะต้องกำหนดชั้นใหม่ให้นั่งคือ

       
ต้องเอาไปนั่งชั้น  Low Class เขียนเป็นภาษาไทยได้ว่า      

      
“โลว์ คลาส !”

        โน่น...ไปไกลๆ เลย...เอาไปให้พ้นหูพ้นตาเชียว !!
        มว่าโฆษณาของการบินไทยชุดนี้ “ห่วยแตก” และ “ไร้รสนิยม” เป็นที่สุดแล้ว แต่ดันมีโฆษณาอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐอีกเหมือนกัน ซึ่งนอกจากจะ “ห่วยแตก” และ “ไร้รสนิยม” แล้ว ยัง...

      
น่ารังเกียจและน่าขยะแขยง เป็นอย่างยิ่งอีกด้วย!      

       
โฆษณาชิ้นดังกล่าวนี้ เป็นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)     

        สสส. นั้นเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่มิใช่ส่วนราชการ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2548

       
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีหน้าที่ผลักดัน กระตุ้น สนับสนุน และร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังคม ในการขับเคลื่อนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นของดีต่อสังคมมาก เพราะองค์กรนี้เขาวางเป้าหมาย ในการลดอัตราการเจ็บป่วย และเสียชีวิตก่อนวัยอันควร กระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความเชื่อ และการปรับภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อคุณภาพชีวิต ช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ     

       
พูดง่ายๆก็คือ อะไรที่เป็นพิษเป็นภัย ต่อสุขภาพพลานามัยแล้ว สสส.ก็จะช่วยชี้ให้เห็นโทษภัย วางแนวทางการต่อสู้เพื่อให้สุขภาพของชนในชาติดีขึ้น ผู้คนมีชีวิตที่ยืนยาวออกไป
        สาเหตุการเสียชีวิต ของคนไทยส่วนใหญ่นั้น ก็สืบเนื่องมาจาก ปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา อุบัติเหตุ การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ และตัวเลขทาง สสส.เขาระบุมานั้น โดยคนไทยต้องใช้จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลถึงปีละกว่า 2 แสนล้านบาท

       
สถิติดังกล่าวนี้เอง เขาเห็นว่าล้วนมาแต่โรคที่ ที่สามารถป้องกันเกือบทั้งสิ้น เขาจึงวางยุทธศาสตร์การสร้างเสริมสุขภาพ มุ่งเน้นไปที่การวางน้ำหนักด้านการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วิถีชีวิตและสภาพแวดล้อม เช่น เลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ งดสุราและบุหรี่ สัญจรอย่างปลอดภัย อยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ป้องกันโรคขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะดอกเอดส์เบ่งบานไปทั่วประเทศ ตรงนี้สำคัญมาก อย่างนี้เป็นต้น     

       
สสส. รับเงินอุดหนุนจากรัฐ และมีการพิจารณานำเอาภาษีสรรพสามิต หรือที่เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า  “ภาษีบาป” ประเภทเหล้า บุหรี่ ของบั่นทอนสุขภาพทั้งหลาย มาสนับสนุนกิจกรรมของ สสส.

       
ผมเห็นด้วยทุกประการ เพราะโดยส่วนตัวแล้วเชื่อในระบบป้องกัน ว่าดีกว่าการรักษาพยาบาล ซึ่งจะเป็นการลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งส่วนตัวและที่เป็นของรัฐลง
        ที่ผมต้องออกมาตำหนิ การดำเนินการของ สสส.ในครั้งนั้น ก็เพราะเรื่องการโฆษณาขององค์กรนี้ ที่เผยแพร่ออกไปทางวิทยุ สู่ประชาชนท่าวประเทศ     

       
บทโฆษณา เป็นเรื่องของการรณรงค์ต่อต้านการเสพสุรา เขาวางบทไว้ทำนองนี้ คือ

      
เป็นคำพูดของผู้ชาย ที่เข้าใจว่าเป็นอาชญากร ที่ต้องโทษอยู่ออกมาสารภาพว่า เขาก่อกรรมทำเข็ญ โดยก่ออาชญากรรมร้ายแรง โดยบรรยายการกระทำความผิดของเขาเป็นคำพูดชัดเจน ดังนี้ คือ     

      
“ผมอุดปากเธอ”     

       
“ผมชกท้องเธอ”        

       
“ผมข่มขืนเธอ” (แสดงโดยนัย)       

       
“ผมถ่ายรูปเธอ”
      

       
สรุปลงท้ายก็  คือ “ผมกระทำผิด...เพราะดื่มเหล้า !” .....แค่นั้นจริงๆ

       
โฆษณาชิ้นนี้ ผมได้ฟังด้วยตนเองหลายครั้ง และได้รับเสียงบ่นจากผู้ปกครองเด็กสามสี่ราย รวมทั้งได้พูดคุยกับนายตำรวจผู้ใหญ่ ซึ่งพูดตรงกันหมดว่า       

     
 “นี่เป็นการนำแผนประทุษกรรม ของผู้ร้ายทางเพศ มาตีแผ่ทางวิทยุ!”      

       
ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง ก็คือ       

    
  มันแพร่ไปยังหมู่เยาวชน ที่กำลังเดินทางไปโรงเรียนหรือสถานศึกษา เพราะออกในช่วงเวลาเหมาะเจาะพอดีคือหลังข่าว!

        โฆษณานี้อาจทำให้พวกเยาวชนมีจินตนาการไกลไปถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ใช่เซ็กส์ตามปกติมนุษย์ธรรมดาพึงมี แต่เป็นเรื่องการประพฤติที่วิปริตผิดสามัญ ตามติดด้วยอาชญากรรมและความรุนแรง ซึ่งเป็นความชั่วร้าย เป็นเสนียดจัญไร เรียกว่าเป็นความกาลีโดยแท้     

      
น่ากลัวมาก ไม่คิดเลยว่าจะมี โฆษณากาลี อย่างนี้ในบ้านในเมืองของเรา และร้ายที่สุดเป็นหน่วยงานของรัฐเสียอีก     

       
ช่างไร้ความคิด…เสียเหลือเกิน!!

        การสอบสวนคดีทางเพศนั้น ตำรวจเขาสอนกันอย่างเป็นทางวิชาการจริงๆ ไม่เผยแพร่ออกมาให้ผู้คนภายนอกรู้ นอกจากผู้มีหน้าที่ เพราะมันไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง

       
เด็กๆไม่ควรทราบพฤติกรรมของคนร้าย จนถึงขั้นรายละเอียด ด้วยการบอกลำดับขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การอุดปากเหยื่อไม่ให้ร้อง ชกเข้าที่ท้อง บอกถึงการทำร้ายร่างกายในจุดอ่อนของผู้หญิง ที่มีอวัยวะภายในไม่เหมือนชาย จากนั้นก็ยังข่มขืนหลังทำร้าย และร้ายที่สุด     

      
ถ่ายรูป...เอาไว้แบล๊คเมล์อีก !     

     
 ระยำ…สุดขีด!!      

       
ผมไม่รู้ว่า สติของทั้งคนคิดโฆษณา และผู้บริหารของ สสส.ยังดีกันหรือเปล่า? ที่ปล่อยให้โฆษณาอัปรีย์ อย่างนี้อออกมาสู่เยาวชน ที่กำลังอยากรู้อยากลองได้อย่างไร !!!
        หลังจากที่ผมเขียนบทความ ถล่มงานโฆษณาทั้ง 2 ชิ้น ในผู้จัดการออนไลน์เพียงไม่กี่วันเท่านั้น...

     
 โฆษณากาลีทั้งสองชิ้น ก็หายวับไปจากทั้งสื่อโทรทัศน์และวิทยุ!
        าถึง พ.ศ. 2554 ได้มีโฆษณากาลีได้เกิดขึ้นอีก คราวนี้เกิดขึ้นบนรถไฟฟ้า อย่าง BTS อย่างที่เล่าให้ฟังตั้งแต่เริ่มต้น

       
ผมดูแล้วไม่เชื่อสายตา เพราะการนำเรื่องเชื้อชาติมาเล่นสนุก เป็นประเด็นที่อ่อนไหวมาก
content/picdata/282/data/dog.jpg
        ความจริงเรื่องแบบนี้ ได้จางหายไปจากโลกครึ่งศตวรรษแล้ว เช่น สมัยอังกฤษปกครองฮ่องกง ก็สงวนสวนสาธารณะไว้ให้พวกตน โดยมีประกาศ

     
 No Chinese Or Dogs Allowed.

        หรือ “ห้ามคนจีนหรือหมาเข้าสวน” ซึ่งเป็นเรื่องที่คนจีนจดจำ และฝังใจโกรธแค้นมาจนถึงทุกวันนี้

       
การที่สงวนสิทธิเอาไว้สำหรับคนขาว ในสหรัฐอเมริกานั้น คนผิวสีต้องเจ็บช้ำน้ำใจกับการกีดกันมานานนับศตวรรษ เพราะมีสถานที่ซึ่งเป็นสาธารณะหลายแห่ง เช่นโรงแรม ร้านอาหาร ร้านเหล้าฯลฯ มีป้ายสงวนสิทธิสำหรับคนผิวขาวว่า

     
 White Only

        นอกจากนั้น บริการสาธารณะบางอย่างก็กีดกัน เช่นรถประจำทาง คนดำจะต้องไปนั่งข้างหลัง พวกคนขาวจะได้รับสิทธิในการนั่งด้านหน้า และหากรถมีการนั่งเต็มหมดแล้ว คนดำก็จะต้องลุกให้คนขาวนั่ง จนเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ คือ

       
เย็นวันหนึ่งเป็นวันที่ 1 ธันวาคม 2498 ที่ Montgomery, Alabama, สหรัฐอเมริกา ผู้หญิงช่างเย็บเสื้อผิวสีคนหนึ่งชื่อ Rosa Parks ที่ผู้หญิงผิวดำคนหนึ่งไม่ยอมลุก จนโดนจับ และเหตุการณ์ลุกลาม จนกลายเป็นประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ที่ต้องแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ระหว่างคนผิวขาวและผิวสี (หากมีโอกาสจะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังอีก)
        หากข่าวสารเรื่อง “โฆษณากาลี” บนรถไฟฟ้า BTS นี้ ถูกเผยแพร่ออกไปยังสหรัฐ หรือประเทศที่เคยมีปัญหาเรื่องการเหยียดผิวมาก่อน ผมรับรองได้เลยว่า 

     
 ประเทศไทยจะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ และถูกต่อต้านอย่างหนัก จากผู้คนในชาติเหล่านั้น!
        น่าสงสารบ้านเมืองของเราจริงๆ ที่มาถึงวันนี้ ประเทศไทยซึ่งเคยขึ้นชื่อว่า เป็นดินแดนแห่งอิสรเสรี แต่ภาพลักษณ์ได้เสียหายไป เพราะการสังหารหมู่ประชาชน อย่างทมิฬหินชาติ โดยฝีมือทหารไทยและรัฐบาล จนข่าวสาร แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว...

       
...มาถึง พ.ศ.นี้ ยังดันมี “โฆษณา-กาลี...อัปรีย์สุดๆ” เกิดขึ้นมาบนแผ่นดินไทย กระทืบซ้ำภาพลักษณ์แห่งความเสียหาย ให้กับบ้านนี้เมืองนี้...

       
...จนโทรมทรุด หนักยิ่งขึ้นไปอีก

        โฆษณาที่ปรากฏบนรถไฟฟ้า BTS ชิ้นนี้ เหมือนจะแข่งความระยำกับ “รัฐบาล-กาลี...อัปรีย์สุดๆ” !!

      
ท่านผู้อ่าน ลองคิดกันเล่นๆหน่อยเถอะครับ ว่า
        อันไหนจะ ‘ระยำ’ มากกว่ากัน!!!?
..................
หมายเหตุ เราควรแสดงความจริงใจว่า คนไทยไม่เห็นด้วยกับโฆษณากาลี ที่สื่อสัญลักษณ์ของการเหยียดผิว ด้วยการต่อต้าน ไม่ซื้อสินค้าต้นเหตุ ที่สร้างความขัดแย้งในครั้งนี้ รวมทั้งสินค้าอื่นของบริษัทผู้ผลิตด้วย

       
ชาวไทยเราสามารถกระทำได้ ด้วยการเผยแพร่

คำขวัญของการต่อต้าน คือ
        “เซย์ ‘No’ ทู...อะมิโนพลัส!!!”
        “เซย์‘No’ ทู...โออิชิ!!!”
        (บทความประจำสัปดาห์ ตอน โฆษณา-กาลี...อัปรีย์สุดขีด!!! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2554)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น