จดหมายนปช.ถึงผู้พิพากษาทั่วประเทศ
http://www.internetfreedom.us/thread-13149.html
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2554 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ได้แก่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายเหวง โตจิราการ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายขวัญชัย สาระคำ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย, นายยศวริศ ชูกล่อม, นายสมชาย ไพบูลย์ และผู้ต้องหา นปช. คดีอื่นๆที่ยังไม่ได้รับการประกันตัว ได้ทำจดหมายถึงผู้พิพากษาทั่วประเทศ ดังนี้
ด้วยกระผมแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน (ดังรายนามที่ปรากฏท้ายจดหมายฉบับนี้) ผู้ต้องหาคดีร่วมก่อการร้ายจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 ซึ่งถูกควบคุมตัวและจำขังเป็นเวลากว่า 8 เดือนตั้งแต่ยุติการชุมนุม และยังไม่ได้รับสิทธิประกันตัวจนถึงขณะนี้ มีความทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจจากการไร้อิสรภาพ ทั้งยังรู้สึกคับแค้นไร้ที่พึ่งจากกระบวนการยุติธรรมในคดี จึงเขียนจดหมายมาปรับทุกข์กับท่านเพื่อให้ความจริงดังจะกล่าวต่อไปนี้ปรากฏต่อผู้ทรงภูมิรู้ทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม หากท่านจะกรุณามีข้อคิดเห็นหรือคำแนะนำอันเป็นประโยชน์ทั้งต่อพวกกระผมและประชาชนอีกกว่า 100 ชีวิตที่ยังคงถูกจำขังจากเหตุการณ์เดียวกันก็จะน้อมรับด้วยความยินดี หรือหากเพียงท่านจะรับทราบความเป็นมาแห่งความทุกข์ของประชาชนในกรณีนี้ก็น่าจะเกิดประกายแห่งแสงสว่างมิให้ประเทศไทยมืดมนจนเกินไปนัก
1.การตั้งข้อกล่าวหา แม้จะยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามพยานหลักฐาน แต่พวกกระผมก็ยังมิอาจทำใจยอมรับข้อกล่าวหาก่อการร้ายได้ เพราะการชุมนุมของ นปช. เป็นการต่อสู้ทางการเมืองโดยมีอุดมการณ์สูงสุดคือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง โดยยึดหลักสันติวิธีในการต่อสู้ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงทั้งรูปแบบ วิธีการ และเป้าหมายของขบวนการก่อเหตุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ นปช. ถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย ขณะที่กลุ่มผู้ก่อเหตุในพื้นที่ภาคใต้เป็นเพียงผู้ก่อความไม่สงบ ตลอดช่วงเวลาหลังยุติการชุมนุมรัฐบาลใช้วาทกรรม “ผู้ก่อการร้าย” เป็นเครื่องมือในการจับกุม คุมขัง คุกคาม และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดข้อสงสัยว่าข้อหาก่อการร้ายตั้งขึ้นอย่างถูกต้องเหมาะสมตามหลักกฎหมาย หรือตั้งขึ้นเพื่อความถูกใจของรัฐบาลเพื่อใช้จัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเท่านั้น
2.การสั่งฟ้องคดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะพนักงานสอบสวนแถลงข่าวรายวัน ยืนยันตลอดเวลาว่าสั่งฟ้องคดีนี้อย่างแน่นอน ทั้งที่ขณะนั้นขั้นตอนรวบรวมพยานหลักฐานยังไม่แล้วเสร็จ ถือเป็นการปักธงคดีไว้ล่วงหน้าโดยไม่แคร์สายตาประชาชน ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำหนังสือราชการถึงสำนักงานอัยการสูงสุดเร่งรัดให้เจ้าพนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องให้ทันก่อนครบกำหนดฝากขัง ซึ่งไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนในกระบวนการยุติธรรมชั้นอัยการ ในที่สุดเจ้าพนักงานอัยการก็มีความเห็นสั่งฟ้องในวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ตามกรอบเวลาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำหนด ทั้งที่ทนายจำเลยยื่นร้องขอความเป็นธรรมให้สอบปากคำพยานเพิ่มเติมแต่กลับไม่ได้รับการพิจารณาแม้แต่ปากเดียว ซึ่งแน่นอนว่าหากมีการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมตามที่จำเลยร้องขอก็จะสั่งฟ้องคดีไม่ทันตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
“ระหว่างความยุติธรรมตามข้อกฎหมายกับนโยบายของผู้มีอำนาจการพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี ต้องยึดหลักเกณฑ์ใด”
สำนวนฟ้องของดีเอสไอระบุว่า การชุมนุมของ นปช. เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ แต่ในการแถลงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 ดีเอสไอระบุว่าเหตุเสียชีวิตอย่างน้อย 13 ราย เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนสาเหตุที่ยังไม่มีการฟ้องร้องฝ่ายเจ้าหน้าที่เพราะต้องส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
หากยึดตามประมวลกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะมาตรา 129 วรรคท้าย “ถ้าการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาล” การมิได้ชันสูตรพลิกศพอย่างถูกต้องและครบถ้วนจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่แล้วเสร็จนั้นส่งผลให้การสั่งฟ้องพวกกระผมในคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมหรือไม่?
ในการแถลงวันเดียวกัน อธิบดีดีเอสไอกล่าวด้วยว่า “เหตุการณ์เสียชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นสถานการณ์ที่เกิดท่ามกลางการจลาจล เป็นเหตุสับสนวุ่นวายอย่างวิกฤต การแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงจึงมีข้อจำกัดเป็นอย่างยิ่ง” (มติชน 21 มกราคม 2554) นับเวลาจากวันที่สั่งฟ้อง 11 สิงหาคม 2553 ถึงวันแถลงข่าว 20 มกราคม 2554 รวมเวลากว่า 5 เดือน ดีเอสไอยังระบุว่าการรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปอย่างยากลำบาก น่าสนใจอย่างยิ่งว่า ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2553 พวกกระผมถูกสั่งฟ้องด้วยหลักฐานใด และหลักฐานที่มีอยู่ขณะนั้นเพียงพอต่อการสั่งฟ้องในคดีก่อการร้ายหรือไม่
3.กระบวนการพิจารณาคดี มีการนัดตรวจพยานหลักฐานครั้งแรกในวันที่ 27 กันยายน 2553 จำเลยทุกคนไปศาล แต่เนื่องจากบัญชีพยานหลักฐานของทั้ง 2 ฝ่ายมีเป็นจำนวนมาก ไม่อาจหาข้อยุติได้ในวันดังกล่าว ศาลจึงเลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานออกไปเป็นวันที่ 27 ธันวาคม 2553 เป็นที่ทราบในทางปฏิบัติว่าช่วงเวลาก่อนและหลังเทศกาลขึ้นปีใหม่มักจะไม่มีการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดี นอกจากเป็นงานธุรการทั่วไปของศาลเท่านั้น ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเบิกตัวจำเลยมาศาลแต่ศาลไม่อนุญาต และเมื่อถึงวันนัดก็สั่งเลื่อนการตรวจพยานหลักฐานไปเป็นวันที่ 17 มกราคม 2554 ด้วยเหตุผลว่าผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนติดภารกิจ
วันที่ 17 มกราคม 2554 ศาลอนุญาตให้เบิกตัวจำเลยตามคำร้องของทนาย แต่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนไม่อนุญาตให้นำตัวจำเลยมายังหน้าบัลลังก์ศาล จำเลยจึงต้องนั่งรอบริเวณใต้ถุนศาลอาญา รัชดาฯ ทนายจำเลยร้องขอให้เบิกตัวจำเลยขึ้นมาเพื่อได้มีโอกาสปรึกษาหารือหากมีการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงบัญชีพยานหลักฐาน แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาต ทั้งยังระบุว่าจะดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีโดยไม่ต้องให้จำเลยมาศาล หากจะนำสืบจำเลยคนใดก็ให้เบิกมาเฉพาะบุคคล พร้อมทั้งสั่งเจ้าหน้าที่ให้ตรวจบัตรประจำตัวประชาชนผู้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดี และเชิญผู้ไม่เกี่ยวข้องออกนอกห้องพิจารณา มีการจดรายชื่อเอาไว้และบอกว่าคราวต่อไปไม่ให้มาร่วมฟังการพิจารณาอีก คงเหลือแต่บุตร-ภรรยาจำเลยเท่านั้น ในที่สุดก็เลื่อนนัดตรวจพยานอีกครั้งเป็นวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554
คดีนี้มีอัตราโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และอยู่ในความสนใจของประชาชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ กระบวนการพิจารณาและผลการตัดสินคดีจะเป็นอย่างไรย่อมถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แต่จำเลยกลับไม่มีโอกาสเข้าร่วมกระบวนการพิจารณาคดี ประชาชนผู้สนใจซึ่งแน่นอนว่าจะเพิ่มมากขึ้น ในขั้นตอนนำสืบพยานโจทก์และจำเลยก็มีแนวโน้มถูกจำกัดสิทธิในการติดตามการพิจารณาคดีเช่นเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้นการตัดสินคดีไปเลยจะรวบรัดกว่าหรือไม่ นับจากวันนัดตรวจพยานหลักฐานวันแรก 27 กันยายน 2553 ถึงวันกำหนดนัดครั้งที่ 4 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 รวมเวลากว่า 5 เดือน การพิจารณาคดียังไม่มีอะไรคืบหน้า แล้วชะตากรรมของพวกกระผมจะเป็นอย่างไรต่อไป
4.สิทธิการประกันตัว พวกกระผมเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่โดยทราบชัดเจนว่าถูกออกหมายจับในคดีก่อการร้าย และจากประวัติการต่อสู้ทางการเมืองในสถานการณ์ที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่หลังการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบันก็ไม่เคยปรากฏพฤติการณ์หลบหนีในทุกคดีที่ถูกกล่าวหา และหากพิจารณาเหตุผลตามข้อกฎหมายว่าด้วยการปล่อยตัวชั่วคราวก็ไม่น่าเป็นอุปสรรคใดๆในการได้รับสิทธิประกันตัว แต่พวกกระผมก็ยังคงถูกจำขังทั้งที่ยื่นขอประกันตัวไปแล้วทั้งศาลชั้นต้นและอุทธรณ์รวมหลายครั้ง ในขณะที่นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. จำเลยที่ 1 ได้รับสิทธิประกันตัวจากการไต่สวนและลงมติของที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ โดยศาลกำหนดเงื่อนไขการประกันตัวไว้หลายข้อ และนายวีระปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นายวีระได้รับการประกันตัวด้วยเหตุผลใด และทำไมจำเลยคนอื่นซึ่งมีสถานะรองจากนายวีระในองค์กร นปช. จึงไม่ได้รับโอกาสจากกระบวนการยุติธรรมแบบเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้นคือกรณีนายสมชาย ไพบูลย์ แกนนำ นปช. อีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีปลุกปั่นยุยงให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี ก็ยื่นประกันตัวไปแล้วหลายครั้งแต่ไม่ได้รับอนุญาตเช่นเดียวกัน พวกกระผมควรทำความเข้าใจกรณีเหล่านี้อย่างไร
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอจากหลายองค์กรทั้งในและต่างประเทศในเรื่องการให้อนุญาตประกันตัวผู้ต้องหาในคดีนี้ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการคลี่คลายความขัดแย้งและสร้างความปรองดองในชาติ โดยเฉพาะคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งยืนยันเรื่องนี้มาโดยตลอด เช่นเดียวกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่มีข้อเสนอในเรื่องเดียวกัน แม้กระทั่ง ศอฉ. ก็เคยออกหนังสือลงนามโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธาน ศอฉ. ในขณะนั้น ระบุว่าไม่ขัดข้องหากศาลอนุญาตให้ประกันตัว รัฐบาลเองก็มีความมั่นใจในสถานการณ์โดยการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ทุกครั้งที่ผ่านมาก็อยู่ในความสงบเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ จากทั้งหมดที่กล่าวมาจึงสรุปเป็นคำถามได้ว่าแล้วพวกกระผมต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับสิทธิประกันตัว
5.สิ่งที่เรียกว่า 2 มาตรฐาน ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมมากขึ้นเป็นลำดับ จนวาทกรรม “2 มาตรฐาน” กลายเป็นสาระหลักอย่างหนึ่งเมื่อพูดถึงสาเหตุของความขัดแย้งที่ยังไม่เห็นช่องทางยุติในสังคมไทย รูปธรรมของ 2 มาตรฐานมีหลากหลายตามความสนใจและความเข้าใจของผู้ที่จะหยิบยกมาอธิบาย ในที่นี้จะขอเปรียบเทียบแนวปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรมต่อกลุ่ม นปช. และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพอให้เกิดความเข้าใจ ดังนี้
แกนนำ นปช. ถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย มีการจำขังทันที จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการประกันตัว แต่แกนนำพันธมิตรฯถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายมากว่า 2 ปี คดียังอยู่ในชั้นตำรวจ ทุกคนได้ประกันตัวและสามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองชุมนุมขับไล่รัฐบาลได้โดยสะดวก ส่วนที่ไม่มอบตัวถูกออกหมายจับ เช่น นายการุณ ใสงาม ก็สามารถเดินทางผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองไปเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้ผู้ถูกคุมขังที่ประเทศกัมพูชาแล้วกลับเข้าประเทศโดยที่หมายจับไร้ศักดิ์ศรีทางกฎหมายอย่างสิ้นเชิง นายวีระ สมความคิด อีกหนึ่งผู้ถูกออกหมายจับคดีก่อการร้าย สามารถร่วมคณะกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไปเกิดปัญหาที่กัมพูชา ไม่มีแกนนำพันธมิตรฯคนใดถูกจับกุมคุมขังในเรือนจำประเทศไทย ต้องใช้ความพยายามดิ้นรนในระดับนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ จึงจะได้ใช้ชีวิตในเรือนจำ และในที่สุดในวันที่ 27 มกราคม 2554 นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ ก็ได้รับการประกันตัวไปเรียบร้อยแล้วโดยใช้หลักทรัพย์ประกันเป็นเงินสดรวมสำหรับ 2 คน 800,000 บาท ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้นจริงหรือ
ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯขับรถทับเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ศาลพิพากษาจำคุกแต่ให้รอลงอาญา การ์ดพันธมิตรฯหลายสิบคนบุกเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ NBT ศาลพิพากษาจำคุกแต่อนุญาตให้ประกันตัวครบทุกคน ผู้ชุมนุม นปช. โดนข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปิดเส้นทางจราจรก่อความวุ่นวาย ศาลตัดสินจำคุก 6 เดือน 1 ปี หรือ 1 ปี 6 เดือน ไม่ได้รับการประกันตัว ขณะนี้อยู่ในเรือนจำหลายจังหวัด จากตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่หยิบยกมาท่านผู้พิพากษาเห็นว่า 2 มาตรฐานที่ประชาชนพูดกันโดยทั่วไปมีจริงหรือไม่ หากมีจริงเราจะนำพาสังคมไทยออกจากภาวะตกต่ำเช่นนี้ได้อย่างไร
มีเสียงเรียกร้องสันติภาพจากทุกมุมของประเทศ แต่ถ้าไม่มีความยุติธรรมเป็นพื้นฐานสันติภาพนั้นจะเกิดได้อย่างไร การเอาตัวอาชญากรมาจำขังไว้ย่อมได้ผลในการลดอาชญากรรม แต่การเอาตัวผู้ต้องหาทางการเมืองมาจำขังจะได้ผลตรงกันข้าม นั่นคือเป็นการเพิ่มความขัดแย้งให้ขยายตัวมากขึ้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้มิได้ส่งผลให้ประชาชนหมดทางสู้ หากแต่จะทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือก ท่านผู้พิพากษาคิดว่าท่านจะมีส่วนผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยแท้จริงในประเทศไทย และมีความเท่าเทียมกันภายใต้กรอบแห่งกฎหมายเพื่อคลี่คลายวิกฤตแห่งความขัดแย้งนี้ได้หรือไม่
พวกกระผมมั่นใจว่าท่านทำได้ จึงเขียนจดหมายมาปรับทุกข์ในวันนี้
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 297 วันที่ 5 - 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 หน้า 3-4 คอลัมน์ รายงาน โดย ทีมข่าวการเมือง
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank...ws_id=9577
http://www.internetfreedom.us/thread-13149.html
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2554 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ได้แก่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายเหวง โตจิราการ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายขวัญชัย สาระคำ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย, นายยศวริศ ชูกล่อม, นายสมชาย ไพบูลย์ และผู้ต้องหา นปช. คดีอื่นๆที่ยังไม่ได้รับการประกันตัว ได้ทำจดหมายถึงผู้พิพากษาทั่วประเทศ ดังนี้
ด้วยกระผมแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน (ดังรายนามที่ปรากฏท้ายจดหมายฉบับนี้) ผู้ต้องหาคดีร่วมก่อการร้ายจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 ซึ่งถูกควบคุมตัวและจำขังเป็นเวลากว่า 8 เดือนตั้งแต่ยุติการชุมนุม และยังไม่ได้รับสิทธิประกันตัวจนถึงขณะนี้ มีความทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจจากการไร้อิสรภาพ ทั้งยังรู้สึกคับแค้นไร้ที่พึ่งจากกระบวนการยุติธรรมในคดี จึงเขียนจดหมายมาปรับทุกข์กับท่านเพื่อให้ความจริงดังจะกล่าวต่อไปนี้ปรากฏต่อผู้ทรงภูมิรู้ทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม หากท่านจะกรุณามีข้อคิดเห็นหรือคำแนะนำอันเป็นประโยชน์ทั้งต่อพวกกระผมและประชาชนอีกกว่า 100 ชีวิตที่ยังคงถูกจำขังจากเหตุการณ์เดียวกันก็จะน้อมรับด้วยความยินดี หรือหากเพียงท่านจะรับทราบความเป็นมาแห่งความทุกข์ของประชาชนในกรณีนี้ก็น่าจะเกิดประกายแห่งแสงสว่างมิให้ประเทศไทยมืดมนจนเกินไปนัก
1.การตั้งข้อกล่าวหา แม้จะยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามพยานหลักฐาน แต่พวกกระผมก็ยังมิอาจทำใจยอมรับข้อกล่าวหาก่อการร้ายได้ เพราะการชุมนุมของ นปช. เป็นการต่อสู้ทางการเมืองโดยมีอุดมการณ์สูงสุดคือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง โดยยึดหลักสันติวิธีในการต่อสู้ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงทั้งรูปแบบ วิธีการ และเป้าหมายของขบวนการก่อเหตุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ นปช. ถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย ขณะที่กลุ่มผู้ก่อเหตุในพื้นที่ภาคใต้เป็นเพียงผู้ก่อความไม่สงบ ตลอดช่วงเวลาหลังยุติการชุมนุมรัฐบาลใช้วาทกรรม “ผู้ก่อการร้าย” เป็นเครื่องมือในการจับกุม คุมขัง คุกคาม และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดข้อสงสัยว่าข้อหาก่อการร้ายตั้งขึ้นอย่างถูกต้องเหมาะสมตามหลักกฎหมาย หรือตั้งขึ้นเพื่อความถูกใจของรัฐบาลเพื่อใช้จัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเท่านั้น
2.การสั่งฟ้องคดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะพนักงานสอบสวนแถลงข่าวรายวัน ยืนยันตลอดเวลาว่าสั่งฟ้องคดีนี้อย่างแน่นอน ทั้งที่ขณะนั้นขั้นตอนรวบรวมพยานหลักฐานยังไม่แล้วเสร็จ ถือเป็นการปักธงคดีไว้ล่วงหน้าโดยไม่แคร์สายตาประชาชน ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำหนังสือราชการถึงสำนักงานอัยการสูงสุดเร่งรัดให้เจ้าพนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องให้ทันก่อนครบกำหนดฝากขัง ซึ่งไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนในกระบวนการยุติธรรมชั้นอัยการ ในที่สุดเจ้าพนักงานอัยการก็มีความเห็นสั่งฟ้องในวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ตามกรอบเวลาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำหนด ทั้งที่ทนายจำเลยยื่นร้องขอความเป็นธรรมให้สอบปากคำพยานเพิ่มเติมแต่กลับไม่ได้รับการพิจารณาแม้แต่ปากเดียว ซึ่งแน่นอนว่าหากมีการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมตามที่จำเลยร้องขอก็จะสั่งฟ้องคดีไม่ทันตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
“ระหว่างความยุติธรรมตามข้อกฎหมายกับนโยบายของผู้มีอำนาจการพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี ต้องยึดหลักเกณฑ์ใด”
สำนวนฟ้องของดีเอสไอระบุว่า การชุมนุมของ นปช. เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ แต่ในการแถลงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 ดีเอสไอระบุว่าเหตุเสียชีวิตอย่างน้อย 13 ราย เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนสาเหตุที่ยังไม่มีการฟ้องร้องฝ่ายเจ้าหน้าที่เพราะต้องส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
หากยึดตามประมวลกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะมาตรา 129 วรรคท้าย “ถ้าการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาล” การมิได้ชันสูตรพลิกศพอย่างถูกต้องและครบถ้วนจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่แล้วเสร็จนั้นส่งผลให้การสั่งฟ้องพวกกระผมในคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมหรือไม่?
ในการแถลงวันเดียวกัน อธิบดีดีเอสไอกล่าวด้วยว่า “เหตุการณ์เสียชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นสถานการณ์ที่เกิดท่ามกลางการจลาจล เป็นเหตุสับสนวุ่นวายอย่างวิกฤต การแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงจึงมีข้อจำกัดเป็นอย่างยิ่ง” (มติชน 21 มกราคม 2554) นับเวลาจากวันที่สั่งฟ้อง 11 สิงหาคม 2553 ถึงวันแถลงข่าว 20 มกราคม 2554 รวมเวลากว่า 5 เดือน ดีเอสไอยังระบุว่าการรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปอย่างยากลำบาก น่าสนใจอย่างยิ่งว่า ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2553 พวกกระผมถูกสั่งฟ้องด้วยหลักฐานใด และหลักฐานที่มีอยู่ขณะนั้นเพียงพอต่อการสั่งฟ้องในคดีก่อการร้ายหรือไม่
3.กระบวนการพิจารณาคดี มีการนัดตรวจพยานหลักฐานครั้งแรกในวันที่ 27 กันยายน 2553 จำเลยทุกคนไปศาล แต่เนื่องจากบัญชีพยานหลักฐานของทั้ง 2 ฝ่ายมีเป็นจำนวนมาก ไม่อาจหาข้อยุติได้ในวันดังกล่าว ศาลจึงเลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานออกไปเป็นวันที่ 27 ธันวาคม 2553 เป็นที่ทราบในทางปฏิบัติว่าช่วงเวลาก่อนและหลังเทศกาลขึ้นปีใหม่มักจะไม่มีการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดี นอกจากเป็นงานธุรการทั่วไปของศาลเท่านั้น ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเบิกตัวจำเลยมาศาลแต่ศาลไม่อนุญาต และเมื่อถึงวันนัดก็สั่งเลื่อนการตรวจพยานหลักฐานไปเป็นวันที่ 17 มกราคม 2554 ด้วยเหตุผลว่าผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนติดภารกิจ
วันที่ 17 มกราคม 2554 ศาลอนุญาตให้เบิกตัวจำเลยตามคำร้องของทนาย แต่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนไม่อนุญาตให้นำตัวจำเลยมายังหน้าบัลลังก์ศาล จำเลยจึงต้องนั่งรอบริเวณใต้ถุนศาลอาญา รัชดาฯ ทนายจำเลยร้องขอให้เบิกตัวจำเลยขึ้นมาเพื่อได้มีโอกาสปรึกษาหารือหากมีการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงบัญชีพยานหลักฐาน แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาต ทั้งยังระบุว่าจะดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีโดยไม่ต้องให้จำเลยมาศาล หากจะนำสืบจำเลยคนใดก็ให้เบิกมาเฉพาะบุคคล พร้อมทั้งสั่งเจ้าหน้าที่ให้ตรวจบัตรประจำตัวประชาชนผู้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดี และเชิญผู้ไม่เกี่ยวข้องออกนอกห้องพิจารณา มีการจดรายชื่อเอาไว้และบอกว่าคราวต่อไปไม่ให้มาร่วมฟังการพิจารณาอีก คงเหลือแต่บุตร-ภรรยาจำเลยเท่านั้น ในที่สุดก็เลื่อนนัดตรวจพยานอีกครั้งเป็นวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554
คดีนี้มีอัตราโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และอยู่ในความสนใจของประชาชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ กระบวนการพิจารณาและผลการตัดสินคดีจะเป็นอย่างไรย่อมถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แต่จำเลยกลับไม่มีโอกาสเข้าร่วมกระบวนการพิจารณาคดี ประชาชนผู้สนใจซึ่งแน่นอนว่าจะเพิ่มมากขึ้น ในขั้นตอนนำสืบพยานโจทก์และจำเลยก็มีแนวโน้มถูกจำกัดสิทธิในการติดตามการพิจารณาคดีเช่นเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้นการตัดสินคดีไปเลยจะรวบรัดกว่าหรือไม่ นับจากวันนัดตรวจพยานหลักฐานวันแรก 27 กันยายน 2553 ถึงวันกำหนดนัดครั้งที่ 4 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 รวมเวลากว่า 5 เดือน การพิจารณาคดียังไม่มีอะไรคืบหน้า แล้วชะตากรรมของพวกกระผมจะเป็นอย่างไรต่อไป
4.สิทธิการประกันตัว พวกกระผมเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่โดยทราบชัดเจนว่าถูกออกหมายจับในคดีก่อการร้าย และจากประวัติการต่อสู้ทางการเมืองในสถานการณ์ที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่หลังการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบันก็ไม่เคยปรากฏพฤติการณ์หลบหนีในทุกคดีที่ถูกกล่าวหา และหากพิจารณาเหตุผลตามข้อกฎหมายว่าด้วยการปล่อยตัวชั่วคราวก็ไม่น่าเป็นอุปสรรคใดๆในการได้รับสิทธิประกันตัว แต่พวกกระผมก็ยังคงถูกจำขังทั้งที่ยื่นขอประกันตัวไปแล้วทั้งศาลชั้นต้นและอุทธรณ์รวมหลายครั้ง ในขณะที่นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. จำเลยที่ 1 ได้รับสิทธิประกันตัวจากการไต่สวนและลงมติของที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ โดยศาลกำหนดเงื่อนไขการประกันตัวไว้หลายข้อ และนายวีระปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นายวีระได้รับการประกันตัวด้วยเหตุผลใด และทำไมจำเลยคนอื่นซึ่งมีสถานะรองจากนายวีระในองค์กร นปช. จึงไม่ได้รับโอกาสจากกระบวนการยุติธรรมแบบเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้นคือกรณีนายสมชาย ไพบูลย์ แกนนำ นปช. อีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีปลุกปั่นยุยงให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี ก็ยื่นประกันตัวไปแล้วหลายครั้งแต่ไม่ได้รับอนุญาตเช่นเดียวกัน พวกกระผมควรทำความเข้าใจกรณีเหล่านี้อย่างไร
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอจากหลายองค์กรทั้งในและต่างประเทศในเรื่องการให้อนุญาตประกันตัวผู้ต้องหาในคดีนี้ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการคลี่คลายความขัดแย้งและสร้างความปรองดองในชาติ โดยเฉพาะคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งยืนยันเรื่องนี้มาโดยตลอด เช่นเดียวกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่มีข้อเสนอในเรื่องเดียวกัน แม้กระทั่ง ศอฉ. ก็เคยออกหนังสือลงนามโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธาน ศอฉ. ในขณะนั้น ระบุว่าไม่ขัดข้องหากศาลอนุญาตให้ประกันตัว รัฐบาลเองก็มีความมั่นใจในสถานการณ์โดยการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ทุกครั้งที่ผ่านมาก็อยู่ในความสงบเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ จากทั้งหมดที่กล่าวมาจึงสรุปเป็นคำถามได้ว่าแล้วพวกกระผมต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับสิทธิประกันตัว
5.สิ่งที่เรียกว่า 2 มาตรฐาน ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมมากขึ้นเป็นลำดับ จนวาทกรรม “2 มาตรฐาน” กลายเป็นสาระหลักอย่างหนึ่งเมื่อพูดถึงสาเหตุของความขัดแย้งที่ยังไม่เห็นช่องทางยุติในสังคมไทย รูปธรรมของ 2 มาตรฐานมีหลากหลายตามความสนใจและความเข้าใจของผู้ที่จะหยิบยกมาอธิบาย ในที่นี้จะขอเปรียบเทียบแนวปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรมต่อกลุ่ม นปช. และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพอให้เกิดความเข้าใจ ดังนี้
แกนนำ นปช. ถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย มีการจำขังทันที จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการประกันตัว แต่แกนนำพันธมิตรฯถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายมากว่า 2 ปี คดียังอยู่ในชั้นตำรวจ ทุกคนได้ประกันตัวและสามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองชุมนุมขับไล่รัฐบาลได้โดยสะดวก ส่วนที่ไม่มอบตัวถูกออกหมายจับ เช่น นายการุณ ใสงาม ก็สามารถเดินทางผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองไปเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้ผู้ถูกคุมขังที่ประเทศกัมพูชาแล้วกลับเข้าประเทศโดยที่หมายจับไร้ศักดิ์ศรีทางกฎหมายอย่างสิ้นเชิง นายวีระ สมความคิด อีกหนึ่งผู้ถูกออกหมายจับคดีก่อการร้าย สามารถร่วมคณะกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไปเกิดปัญหาที่กัมพูชา ไม่มีแกนนำพันธมิตรฯคนใดถูกจับกุมคุมขังในเรือนจำประเทศไทย ต้องใช้ความพยายามดิ้นรนในระดับนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ จึงจะได้ใช้ชีวิตในเรือนจำ และในที่สุดในวันที่ 27 มกราคม 2554 นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ ก็ได้รับการประกันตัวไปเรียบร้อยแล้วโดยใช้หลักทรัพย์ประกันเป็นเงินสดรวมสำหรับ 2 คน 800,000 บาท ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้นจริงหรือ
ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯขับรถทับเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ศาลพิพากษาจำคุกแต่ให้รอลงอาญา การ์ดพันธมิตรฯหลายสิบคนบุกเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ NBT ศาลพิพากษาจำคุกแต่อนุญาตให้ประกันตัวครบทุกคน ผู้ชุมนุม นปช. โดนข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปิดเส้นทางจราจรก่อความวุ่นวาย ศาลตัดสินจำคุก 6 เดือน 1 ปี หรือ 1 ปี 6 เดือน ไม่ได้รับการประกันตัว ขณะนี้อยู่ในเรือนจำหลายจังหวัด จากตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่หยิบยกมาท่านผู้พิพากษาเห็นว่า 2 มาตรฐานที่ประชาชนพูดกันโดยทั่วไปมีจริงหรือไม่ หากมีจริงเราจะนำพาสังคมไทยออกจากภาวะตกต่ำเช่นนี้ได้อย่างไร
มีเสียงเรียกร้องสันติภาพจากทุกมุมของประเทศ แต่ถ้าไม่มีความยุติธรรมเป็นพื้นฐานสันติภาพนั้นจะเกิดได้อย่างไร การเอาตัวอาชญากรมาจำขังไว้ย่อมได้ผลในการลดอาชญากรรม แต่การเอาตัวผู้ต้องหาทางการเมืองมาจำขังจะได้ผลตรงกันข้าม นั่นคือเป็นการเพิ่มความขัดแย้งให้ขยายตัวมากขึ้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้มิได้ส่งผลให้ประชาชนหมดทางสู้ หากแต่จะทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือก ท่านผู้พิพากษาคิดว่าท่านจะมีส่วนผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยแท้จริงในประเทศไทย และมีความเท่าเทียมกันภายใต้กรอบแห่งกฎหมายเพื่อคลี่คลายวิกฤตแห่งความขัดแย้งนี้ได้หรือไม่
พวกกระผมมั่นใจว่าท่านทำได้ จึงเขียนจดหมายมาปรับทุกข์ในวันนี้
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 297 วันที่ 5 - 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 หน้า 3-4 คอลัมน์ รายงาน โดย ทีมข่าวการเมือง
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank...ws_id=9577
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น