วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554


จดหมาย "ศิริโชค" เปิดผนึกถึง "ประพันธ์ คูณมี"

http://www.go6tv.com/2011/02/blog-post_11.html
Sirichok Sopha
ผมรู้สึกเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่งที่นึกไม่ถึงว่าวันนี้นายประพันธ์จะสามารถโกหกมดเท็จได้ถึงขนาดนี้ และคิดไม่ถึงว่าความโกรธแค้นส่วนตัวที่นายประพันธ์มีต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะทำให้นายประพันธ์ต้องลากบุพการีของผมเข้าไปในวังวนน้ำเน่า ทั้งๆที่แม่ผมไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้านายประพันธ์ยังจำได้ วันที่นายประพันธ์โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีอันเกี่ยวจากการชุมนุมของพันธมิตรในช่วงที่มีการไล่ทักษิณ นายประพันธ์โทรไปหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และขอร้องให้นายกรัฐมนตรีฯในฐานะประธาน คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ แทรกแทรงคดี ช่วยนายประพันธ์เพียงคนเดียว แต่นายกรัฐมนตรีปฏิเสธ และยังต่อว่านายประพันธ์กลับในทำนองว่า ถ้าผมช่วยคุณ ผมก็ไม่ต่างอะไรกับทักษิณ และต่อมาเมื่อนายประพันธ์โดนขับออกจากพรรคประชาธิปัตย์ นายประพันธ์ก็สะสมความโกรธ ความแค้น ทีมีต่อพรรคประชาธิปัตย์ และวันนี้นายประพันธ์ก็ทำเป็นแสดงตนปกป้องแผ่นดิน แต่ในความเป็นจริงแล้วนายประพันธ์ไม่ได้มีความรักชาติ รักแผ่นดินเหมือนที่นายประพันธ์พูด แต่นายประพันธ์ใช้โอกาสตรงนี้ล้างแค้น และเยียวยาบาดแผลที่นายประพันธ์ได้รับต่างหาก ผมไม่แปลกใจเลยตอนที่นายประพันธ์ลงรับสมัคร เลือกตั้ง แล้วทำไมประชาชนถึงไม่เลือกนายประพันธ์เข้ามา แต่กลับเลือกคุณนาตยา แดงบุหงา มาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคประชาธิปัตย์ ผมต้องขอขอบคุณประชาชนในเขตเลือกตั้งที่หูตาสว่าง ไม่เลือกคนอย่างนายประพันธ์เข้ามา เพราะพฤติกรรมในระหว่างการเลือกตั้งของนายประพันธ์นั้น ช่างน่าสะอิดสะเอือน และเป็นที่โจษขานโดยทั่วไป แม้กระทั่ง สส นาตยา ยังต้องสะบัดหน้าหนี

เมื่อนายประพันธ์ทำลายนายกรัฐมนตรีไม่สำเร็จ นายประพันธ์ก็หันมาทำลายผม แต่เมื่อนายประพันธ์ทำลายผมไม่ได้ นายประพันธ์ก็หันมาใช้วิธีการแบบนายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ เล่นงานแม่ผม พี่น้องผม นายประพันธ์โกหกจนเคยชิน บอกว่าผมก่อตั้งบริษัทบัวไล เมื่อปี 2508 คุณประพันธ์ครับ ตอนนั้นผมยังไม่เกิดเลย ผมเกิดปี 2510 นายประพันธ์โกหกต่อไปว่าผมตั้งบริษัทโอเวอร์ซีส์ เมอร์แคนไทล์ ตอนปี 2516 ซึ่งถ้าเป็นความจริงผมคงเป็นเด็กอัจฉริยะที่สุดในโลก เพราะอายุ 6 ปี ก็ตั้งบริษัทแล้ว และก็โกหกไปเรื่อยว่าผมตั้งบริษัทสหะโสภาเมื่อปี 2524 (ตอนผมอายุ 14 ปี)และบริษัทโอเวอร์ซีส์มารีน เมื่อปี 2530 (ตอนผมอายุ 20ปี) ข้อเท็จจริงก็คือว่าผมไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษเมื่อตอนผมอายุ 10 ปี และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีที่ประเทศอังกฤษเมื่ออายุ 20ปี หลังจากนั้นผมก็กลับมาประเทศไทย และเริ่มทำงานให้กับบริษัทที่บ้าน เริ่มต้นที่บริษัทสหะโสภา และผมได้รับการแบ่งหุ้นและได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการบริหารฯ ผมบริหารบริษัทต่างๆในเครือ จนกระทั่งผมตัดสินใจที่จะลงเล่นการเมือง และไม่ยุ่งเกี่ยวกับบริษัทฯเมื่อปี 2541 โดยขายหุ้นในบริษัทฯทิ้งทั้งหมด แต่ด้วยความที่เคยค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัทฯ จึงทำให้มีภาระการค้ำประกันจนถึงทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดจากการที่ผมไปกู้หนี้ยืมสินมา

ครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมาโดยตลอด เพราะเราเหน็ดเหนื่อยจากการทำมาค้าขาย ไม่มีใครในครอบครัวผมเล่นการเมือง และก็ไม่มีใครในครอบครัวผมสนับสนุนให้เล่นการเมือง แม่จะบอกผมตลอดว่าอย่าไปเล่นการเมืองเลย มันอันตราย แต่ผมก็ไม่เคยเชื่อ เพราะผมตั้งใจที่จะอุทิศตัวเองให้กับการเมือง เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมรัก ผมอยากจะบอกนายประพันธ์ว่าครอบครัวผมไม่ได้ร่ำรวยจากการเมือง แต่ที่ธุรกิจต้องประสบปัญหาเช่นนี้เพราะพิษการเมือง ถ้านายประพันธ์ยังจำได้ ผมเป็น สส สมัยแรกเมื่อ ปี 2544 และผมเป็นคนที่ลุกขึ้นอภิปรายเรื่องการหนีภาษีอุปกรณ์ดาวเทียมของบริษัทในเครือชินวัตร และพาดพิงไปถึง ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ผลการอภิปรายในครั้งนั้นทำให้ทักษิณเกลียดและแค้นผมเป็นอย่างมาก เล่นงานบริษัทและครอบครัวจนพวกผมแทบเอาตัวเองไม่รอด จากคนที่เคยร่ำรวย ต้องมาเป็นหนี้เป็นสินมากมาย คนที่มาเป็นพยานให้ผมก็คือชิปปิ้งหมูถูกยิงทิ้งที่จังหวัดเชียงราย แม้กระทั่งตัวผมเองก็ถูกบริษัทในเครือชินวัตรฟ้องร้องเป็นคดีความถึง 3 คดี เรียกค่าเสียหายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 12,000 ล้านบาท แต่ผมก็มั่นใจในข้อมูลที่ผมมีอยู่ ทำให้ในท้ายที่สุดบริษัทในเครือชินวัตรต้องถอนฟ้องผมทุกคดี

มันเป็นธรรมมั้ยครับที่คุณมากล่าวหาว่าผมจะมาหาประโยชน์จากการเมืองเพื่อช่วยครอบครัวและแม่ผมที่ล้มละลายจากการที่ผมต่อสู้กับระบอบทักษิณ ทั้งๆที่ในข้อเท็จจริงระบอบทักษิณต่างหากที่เล่นงานพวกผมจนสะบักสะบอม ทุกวันนี้เวลาผมนอนตอนกลางคืน ผมยังเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวผม สิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ผม แต่แม่ผมก็ไม่เคยต่อว่าผม ท่านเข้าใจและเห็นใจ และยังบอกกับผมด้วยซ้ำ อย่าไปสนใจกับสิ่งที่เกิดกับครอบครัว ขอให้คิดถึงประเทศชาติเป็นหลัก

ผมคิดว่าสิ่งที่นายประพันธ์ทำในวันนี้ ลูกผู้ชายเค้าไม่ทำกัน คุณเล่นงานผมซิครับ อย่าเอาครอบครัวผม แม่ผมที่อายุ 80 ปีมาเกี่ยวข้อง ครอบครัวผม แม่ผม ได้รับผลกระทบจากการเมืองมากมากพอแล้ว ถ้าผมแสวงผลประโยชน์จากการเข้ามาเป็นคนสนิทของนายกรัฐมนตรี ป่านนี้แม่ผม ครอบครัวผมไม่ล้มละลายหรอกครับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่องปี 2551 และแม่ผมถูกศาลพิพากษาล้มละลายเมื่อปี 2553 โดยการฟ้องของธนาคารของรัฐเมื่อไม่กี่เดือนมานื้เอง ถ้าผมใช้อำนาจโดยการเป็นคนสนิทของนายกรัฐมนตรี คิดหรือครับว่าธนาคารของรัฐจะกล้าฟ้องครอบครัวและแม่ผมให้ล้มละลาย ผมต่างหากที่ต้องมองตาปริบๆ เห็นแม่และครอบครัวต้องพังย่อยยับ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มันเป็นความเจ็บใจ เศร้าใจ แม้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรครอบครัวผมได้ แต่ก็เป็นความภาคภูมิใจว่าผมไม่เคยใช้อำนาจทางการเมืองช่วยเหลือคนในครอบครัว เหมือนที่นายประพันธ์เคยพยายามขอให้นายกรัฐมนตรีแทรกแทรงกระบวนการยุติธรรมให้ตำรวจสั่งไม่ฟ้องนายประพันธ์

ผมกับนายประพันธ์มันต่างกันตรงนี้ครับ ผมไม่สามารถบิดเบือนข้อมูลใส่ร้ายป้ายสี เล่นงานคนที่เค้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เพื่อสนองตันหา และกิเลสของตัวเอง โดยเฉพาะเล่นงานคนแก่ที่ไม่มีทางสู้อย่างแม่ผม แต่เพื่อศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิของผม ผมจึงไม่อาจปล่อยให้นายประพันธ์ ได้ประพฤติผิด และหมิ่นประมาทอีกต่อไป ผมจึงตัดสินใจดำเนินคดีกับนายประพันธ์ อีกหนึ่งคดี โดยคดีแรกได้ยื่นฟ้องไปตั้งแต่ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ศาลจังหวัดสงขลา และอีกคดีจะยื่นฟ้องภายในอาทิตย์หน้า และจะไม่มีการไกล่เกลี่ยหรือยอมความกับคนอย่างนายประพันธ์ และถ้าหมิ่นประมาทผมอีก ผมก็จะใช้สิทธิฟ้องร้องต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น