หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระสุริโยทัยนั้นมีที่ไป กล่าวคือ ทรงมีโอรส ธิดา และนัดดาหลายพระองค์ ที่สำคัญคือสมเด็จพระมหินทราธิราช โอรสผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา พระธิดาเช่นพระเทพกษัตรีที่พระไชยเชษฐาแห่งราชอาณาจักรลาวล้านช้างสู่ขอไปเป็นพระมเหสี พระสวัสดิราชที่ตั้งขึ้นเป็นพระวิสุทธิกษัตรี ให้เป็นมเหสีพระมหาธรรมราชาเมืองพิษณุโลก พระวิสุทธิกษัตรีมีพระราชโอรสและพระธิดาหลายพระองค์ มีพระนามเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กับพระเอกาทศรถ ส่วนพระธิดาคือพระสุพรรณกัลยา ก็ได้รับการแพร่ขยายในสมัยปัจจุบันจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป โดยปรากฏออกมาเป็นภาพพระสิริโฉมและตำนานเรื่องราว แต่ที่มาของพระสุริโยทัยกลับไม่มีหลักฐานที่มาทางประวัติศาสตร์แม้แต่น้อย คงมีเพียงเท่าที่ได้ยกขึ้นมาวิพากษ์ที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ดี พระนางย่อมมิได้มาจากตระกูลไพร่พลเมืองอย่างแน่นอน แต่ควรจะอยู่ในตระกูลของชนชั้นสูงซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเชื้อพระวงศ์ในสมัยนั้น
ในที่นี้จะเสนอภาพอย่างกว้างๆ ถึงเชื้อสายราชวงศ์ต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกรุงศรีอยุธยา ในสมัยของพระสุริโยทัยดังต่อไปนี้ ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา คือเชื้อสายของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ที่เรียกว่าเป็นราชวงศ์ละโว้-อโยธยา นั้นเป็นเพราะเดิมจริงๆ ในเอกสารดั้งเดิมเรียกกรุงศรีอยุธยาว่า อโยธยา เพิ่งจะเปลี่ยนเป็นอยุธยาในสมัยหลัง เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ นั้น เอกสารของจีนยังเรียกกรุงศรีอยุธยาว่า หลอหู เหมือนกับที่เคยเรียกเมืองละโว้อันเป็นชื่อเดิมของเมืองลพบุรี แสดงถึงความเกี่ยวเนื่องกับเมืองละโว้มาก่อนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อพระองค์เสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาแล้วยังตั้งพระโอรสเป็นพระราเมศวร ไปครองเมืองละโว้ในฐานะเมืองลูกหลวงอีกด้วย
อันเป็นการยืนยันความสืบเนื่องสายราชวงศ์ของพระองค์กับเมืองละโว้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยหลักฐานทางโบราณคดีที่ชัดเจนอันประกอบด้วยโบราณสถานและโบราณวัตถุศิลปะเหมือนขอมที่เมืองละโว้จังหวัดลพบุรี และที่เป็นภาพสลักทหารละโว้ที่นครวัดกัมพูชา แสดงอย่างชัดเจนว่าเมืองละโว้มีความเกี่ยวข้องกับเมืองนครธมศูนย์กลางของอาณาจักรขอมกัมพูชาเป็นอย่างมาก รวมทั้งในสมัยเมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นแล้ว ยังได้ยกทัพไปรบกวนดินแดนขอมกัมพูชาที่เสื่อมสลายลง กษัตริย์อยุธยาในสมัยแรกๆ ต่างก็สนใจแผ่อิทธิพลไปยังดินแดนลุ่มน้ำมูลในภาคอีสาน ตลอดเรื่อยไปจนถึงเมืองนครธมแห่งกัมพูชาอยู่เสมอ
ดังนั้น จึงไม่ผิดที่จะกล่าวอย่างกว้างๆ ว่า ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา คือร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่แสดงความเกี่ยวเนื่องทางวัฒนธรรมไปทางดินแดนภาคอีสาน ไปถึงศูนย์กลางอารยธรรมเดิมที่เมืองนครธม ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา มีอำนาจเหนือราชบัลลังก์กรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หลังจากนั้นเว้นช่วงเป็นราชวงศ์สุพรรณภูมิ หลังจากนั้นพระโอรสและพระนัดดาของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ก็กลับมาครองกรุงศรีอยุธยาต่อไปอีก ๒ พระองค์ คือสมเด็จพระราเมศวรกับสมเด็จพระรามราชา ซึ่งในที่สุดเมื่อ พ.ศ. ๑๙๕๒ สมเด็จพระนครินทราชาธิราชแห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิก็สามารถเข้ายึดครองกรุงศรีอยุธยา และปลดสมเด็จพระรามราชาออกจากราชบัลลังก์ไปไว้ที่ เมืองปทาคูจาม โดยทั่วไปไม่สนใจว่าจะมีราชวงศ์นี้เหลืออยู่ในกรุงศรีอยุธยา แต่เมื่อพิจารณาว่า เมื่อราชวงศ์นี้เสียอำนาจให้แก่กษัตริย์ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ๒ ครั้งนั้น เชื้อสายราชวงศ์นี้ไม่เคยถูกประหาร
ในขณะที่เมื่อมีการเปลี่ยนอำนาจโดยการแย่งชิงราชสมบัติที่มีหลายครั้งในสมัยอยุธยาตอนต้นนั้น กษัตริย์ที่เสียอำนาจจะถูกประหารชีวิตเสมอไม่ว่าจะเป็นเด็กอยู่ก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าราชวงศ์นี้สืบมาจากเมืองละโว้ที่เชื่อมโยงไปยังเมืองขอมนครธม กับที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายตราสามดวงที่มิให้ประหารพราหมณ์ ก็อาจมองได้ว่า ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา นั้นมาจากตระกูลพราหมณ์เชื้อสายขอมเมืองนครธมก็เป็นได้ เมื่อราชวงศ์นี้ไม่เคยถูกประหารแม้จะสูญเสียอำนาจไป ก็น่าสนใจว่ายังคงมีอยู่ในกรุงศรีอยุธยา เพราะชื่อปทาคูจามก็ยังปรากฏอยู่ในชื่อทางภูมิศาสตร์ที่กรุงศรีอยุธยา ราชวงศ์นี้น่าจะได้รับการเลี้ยงดูและทำหน้าที่ที่ปราศจากอำนาจในราชสำนัก คือหน้าที่ทางพิธีกรรมศาสนาของราชครูปุโรหิตก็ได้
ในรัชกาลก่อนสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและพระสุริโยทัย ปรากฏเรื่องราวของขุนวรวงศาและแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ที่ขึ้นมามีอำนาจเหนือราชบัลลังก์อยุธยา เป็นเวลา ๑ ปี ๒ เดือน กับอีก ๔๒ วัน ซึ่งจากร่องรอยบางอย่างเกี่ยวกับหน้าที่ในอดีตของขุนวรวงศาธิราช (พนักงานเฝ้าหอพระ) ชื่อบ้านมหาโลกของนายจันน้องชายที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระมหาอุปราช ซึ่งเป็นชื่อบ้านแบบเขมร ทำให้เกิดแนวคิดทางประวัติศาสตร์ว่าบางทีขุนวรวงศาธิราชกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ คือเชื้อสายที่หลงเหลืออยู่และหวนกลับมาครองอำนาจกรุงศรีอยุธยาเป็นองค์สุดท้ายของราชวงศ์ละโว้-อโยธยา
พิจารณาเกี่ยวกับพระสุริโยทัย หากสมมติว่าพระสุริโยทัยทรงมีเชื้อสายพราหมณ์แห่งราชวงศ์ละโว้-อโยธยา ก็อาจจะเป็นได้ เพราะถ้าพิจารณาจากพระนามของพระนางก็เป็นพระนามเจ้านายของกัมพูชาที่มีใช้กันอยู่ในสมัยนั้น อีกทั้งเมื่อพิจารณาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เมื่อสมเด็จพระมหินทราธิราชโอรสของพระนางได้ขึ้นเสวยราชย์แล้ว ก็ได้เสด็จไปบูรณะวัดมหาธาตุที่ลพบุรีเหมือนกับจะแสดงนัยของการมาทำนุบำรุงวัดของต้นตระกูล รวมทั้งเมื่อคิดว่าการที่พระสุริโยทัยและพระโอรสธิดาสามารถดำรงสวัสดิภาพอยู่ได้ตลอดช่วงเวลา ๑ ปี ๒ เดือน กับอีก ๔๒ วัน ที่แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์และขุนวรวงศาธิราชขึ้นมามีอำนาจอยู่นั้น ก็อาจเป็นเพราะทั้งหมดเป็นพระญาติในราชวงศ์ละโว้-อโยธยา วงศ์เดียวกันก็เป็นได้
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ-สุโขทัย สองราชวงศ์นี้มีความเกี่ยวข้องในการเข้ามาครองอำนาจกรุงศรีอยุธยาในสมัยแรกเริ่มอย่างมาก ชื่อสุพรรณภูมินั้นคือชื่อของเมืองสุพรรณบุรีที่ปรากฏในเอกสารดั้งเดิมที่เป็นศิลาจารึก และเป็นชื่อที่ใช้สืบมาถึงสมัยอยุธยาตอนต้น หลักฐานทางโบราณคดีที่มีการขุดค้นที่เมืองสุพรรณบุรีแสดงว่า เป็นเมืองมาตั้งแต่ก่อนเวลาสถาปนากรุงศรีอยุธยา มีความสืบเนื่องต่อจากเมืองขนาดใหญ่สมัยทวารวดีที่อยู่ใกล้เคียงกัน คือเมืองอู่ทอง ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อมีการย้ายเมืองจากเมืองอู่ทองมาสุพรรณบุรีนั้น หลักฐานทางโบราณคดีได้ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์กับเมืองละโว้ด้วย ขุนหลวงพ่องั่วเจ้าเมืองสุพรรณบุรีที่ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาได้กล่าวถึงการมีสายสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งกับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ นั้น คือกษัตริย์สุพรรณบุรีผู้ทรงยกทัพมายังกรุงศรีอยุธยาเมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สวรรคต ได้เสวยราชสมบัติทรงพระนามสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ โดยที่สมเด็จพระราเมศวรโอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ยอมหลีกทางกลับไปครองเมืองละโว้ตามเดิม จนเมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชสวรรคต ราชบัลลังก์จึงกลับมาเป็นของสมเด็จพระราเมศวรอีกครั้งหนึ่ง
ราชวงศ์สุพรรณภูมิน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์สุโขทัยมาก่อน ดังปรากฏร่องรอยเป็นชื่อเมืองสุพรรณภูมิในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของสุโขทัย ที่มีเนื้อความเล่าเรื่องในสมัยพ่อขุนรามคำแหงว่า เป็นเมืองที่พ่อขุนรามคำแหงมีอำนาจซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งไปถึง ดังนั้น ก่อนที่ขุนหลวงพ่องั่วแห่งสุพรรณภูมิจะได้ราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ นั้น จึงปรากฏเรื่องในเอกสารของล้านนาเล่าเรื่องการขึ้นมาครองเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เมืองในดินแดนสุโขทัยด้วยระยะหนึ่ง และมีเรื่องที่พระองค์ได้สมรสกับเจ้านายฝ่ายหญิงของสุโขทัยด้วย หลังจากสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ สวรรคต และราชบัลลังก์อยุธยาตกอยู่กับกษัตริย์ในราชวงศ์ละโว้-อโยธยานั้น ในช่วงเวลานั้น เมืองสุพรรณบุรีเหมือนกับจะปลีกตัวออกจากศูนย์กลางที่กรุงศรีอยุธยา หันมามีความสัมพันธ์กับแคว้นสุโขทัยแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น จนมีกำลังต่อรองเพียงพอที่จะร่วมกันยึดอำนาจกรุงศรีอยุธยามาจากสมเด็จพระรามราชาธิราชแห่งราชวงศ์ละโว้-อโยธยา และส่งพระองค์ไปไว้ที่เมืองปทาคูจาม
โดยสมเด็จพระนครินทราชาธิราชแห่งสุพรรณภูมิได้ครองกรุงศรีอยุธยา เป็นศูนย์กลางของราชอาณาจักรสยามที่รวมดินแดนสุโขทัยเข้าไว้เป็นกลุ่มเมืองเหนือ ราชวงศ์สุพรรณภูมิกับราชวงศ์สุโขทัย จึงเข้ามามีส่วนในอำนาจการปกครองอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาอย่างชัดเจนตั้งแต่บัดนั้น พัฒนาการทางด้านการปกครองในสมัยต่อมา ที่มีการปรับเปลี่ยนเพื่อดึงศูนย์อำนาจที่แยกปกครองกลุ่มเมืองเหนือ เพื่อรวมศูนย์ไว้ที่กรุงศรีอยุธยาเพียงแห่งเดียว ได้มีการดึงเชื้อพระวงศ์ของสุโขทัยเข้ามาไว้ในระบบราชการของกรุงศรีอยุธยา ทำให้ราชวงศ์สุโขทัยเข้ามามีบทบาทในกลุ่มคนชั้นสูงในราชสำนักอยุธยามากขึ้นเรื่อยๆ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น