ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้อง “จตุพร” ถูกกล่าวหาหมิ่นประมาทบิดา “กรณ์” เรื่องเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์จนถูกให้ออกจากราชการ ระบุเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ทำให้จำเลยเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าโจทก์เป็นคนคดโกงตามที่เปิดแถลงข่าวพาดพิง
ที่ห้องพิจารณาคดี 712 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันที่ 25 พ.ค. 2554 ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ในคดีที่นายระพินทร์ ชลพินทุ ผู้รับมอบอำนาจจากนายไกรศรี จาติกวณิช บิดาของนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นโจทก์ฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 326, 328 กรณีแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์แต่งตั้งให้นายกรณ์เป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบการขายหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กลุ่มเทมาเส็ก สิงคโปร์ โดยพาดพิงถึงนายไกรศรีทำนองว่าเป็นคนคดโกง เคยโดนลงโทษให้ออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากรในความผิดร่วมกันกับผู้อื่นนำรถโตโยต้า ซอเรอร์ เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2549
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่โจทก์ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ประชุมตรวจสอบสำนวนปรึกษาหารือกันแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าขณะโจทก์ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากรเมื่อปี 2529 ได้ถูกลงโทษทางวินัยโดยให้ออกจากราชการ ฐานเลี่ยงภาษีศุลกากรรถยนต์โตโยต้า รุ่นซอเรอร์ ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร แต่สำแดงเท็จในใบขนส่งสินค้าผ่านวิธีการศุลกากรว่าเป็นรถยนต์โตโยต้า รุ่นมาร์คทู ซึ่งราคาต่ำกว่ามาก คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าโจทก์ยังไม่ผิดวินัยร้ายแรง แต่มีมลทินมัวหมอง หากยังรับราชการต่อไปจะทำให้ทางราชการได้รับความเสียหาย จึงมีมติให้ออกจากราชการ ซึ่งจำเลยย่อมเชื่อโดยสุจริตใจว่าโจทก์ได้กระทำผิดตามที่แถลงข่าว ดังนั้น จำเลยย่อมไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 330 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยเหตุผล อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
************************* |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น