นายกฯไทย2 สัญชาติ! http://www.internetfreedom.us/thread-15961.html “อยากถามว่าเมื่อตัดสินใจไปเป็นพลเมืองที่นั่นและถือสัญชาตินั้นแล้ว จะยกเลิกสัญชาติไทยหรือไม่ คำถามนี้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องตอบ” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2553 กรณีรัฐบาลมอนเตเนโกรยืนยันไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามหมายจับ ข้อ หาก่อการร้ายมาดำเนินคดีในไทย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณยังถือสัญชาติไทยอยู่ แต่วันนี้คำถามเรื่อง 2 สัญชาติก็พุ่งกลับมาให้นายอภิสิทธิ์ตอบประชาชนเช่นกันว่า ทำไมไม่ยอมสละสัญชาติอังกฤษ และเหมาะสมหรือไม่ที่ผู้นำประเทศถือ 2 สัญชาติ เมื่อถามว่ากฎหมายไทยให้คง 2 สัญชาติได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตามเจตนารมณ์ให้มีสัญชาติเดียว ซึ่งเจ้าตัวต้องเลือกเช่นเดียวกับคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีผู้ถือ 2 สัญชาตินั้น นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่า เรื่องนี้ต้องว่าไปตามกฎหมาย เพราะบุคคลเมื่อบรรลุนิติภาวะแล้วจะไม่ให้ถือ 2 สัญชาติ ต้องเลือกว่าจะใช้สัญชาติใด แต่กระบวนการยกเลิกไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จับวาทกรรมตอแหล! “ผมเกิดที่อังกฤษ ถือสัญชาติไทย ตั้งใจทำงานเพื่อประเทศไทย ไม่คิดถือสัญชาติอื่นแล้วไปหาผลประโยชน์ในประเทศอื่น ไม่คิดขอลี้ภัยแล้วไปขอสัญชาติประเทศเขาเพื่อไปหาผลประโยชน์จากประเทศอื่น จะแลกกันไหม ถ้าไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ผมไม่มีปัญหา อยู่ในใจ อยู่ในหัวในตัว ผมสละได้ และได้ไปถามนักวิชาการและ กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) เขาบอกว่า ไม่มีปัญหา ถ้าจะไล่ให้ถือสัญชาติเดียวก็ยินดี ถ้าจะให้ผม สละสัญชาติอังกฤษ ผมก็สละได้ แต่คนของท่านที่ถือพาสปอร์ตหลายประเทศก็ต้องสละด้วย จะยอมหรือไม่” คำพูดของนายอภิสิทธิ์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2553 กับการยอมรับเรื่องมี 2 สัญชาติกลางสภา เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 หลังจากนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายในสภา ให้นายอภิสิทธิ์ตอบอย่างตรงไปตรงมาเรื่องการถือ 2 สัญ-ชาติว่าได้สละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง เพราะอาจกระทบกับความมั่นคง โดยนำหลักฐานวันเกิดของนายอภิสิทธิ์ว่าเกิดวันที่ 3 สิงหาคม 2507 แต่ลงทะเบียนกับสถานเอกอัครราชทูตไทยวันที่ 1 เมษายน 2508 ซึ่งกฎหมายอังกฤษถือว่า ผู้ที่เกิดในอังกฤษก่อนปี 2526 จะได้สัญชาติอังกฤษทันที ดังนั้น ถ้านายอภิสิทธิ์ยังไม่ถอนสัญชาติอังกฤษก็ถือว่าเป็นคน 2 สัญชาติ ที่สำคัญประเด็นสัญชาติอังกฤษของนายอภิสิทธิ์เป็นหนึ่งในเหตุผล ที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนาย ความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ได้นำไปเป็นหลักฐานยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ให้เปิดการสอบสวนคดี 91 ศพในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” แม้ประเทศไทยจะไม่ได้ลงสัตยาบันก็ตาม ขณะที่ก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ไม่ยอมตอบคำถาม และยังเบี่ยงเบนประเด็นไปถากถาง พ.ต.ท.ทักษิณที่ใช้สิทธิความเป็นพลเมืองประเทศมอนเตเนโกร ดังนั้น การยอมรับกลางสภาของนายอภิสิทธิ์จึงเหมือนการจนมุมต่อหลักฐาน และถูกตั้งคำถามถึงธรรมาภิบาลของความเป็นผู้นำ ซึ่งไม่ใช่แค่ซื่อสัตย์สุจริต แต่ต้องยึดมั่นในนิติรัฐอย่างตรงไปตรงมาและพร้อมให้สาธารณชนตรวจสอบ ไม่ใช่ตอบเลี่ยงไปเลี่ยงมา หรืออ้างเรื่องการใช้เงินส่วนตัวในการศึกษาเล่าเรียน แต่เคยใช้สิทธิในการรักษาพยาบาล หรือสิทธิอื่นๆในฐานะคนสัญชาติอังกฤษหรือไม่ รวมทั้งเคยมีหรือเคยใช้ หรือยังมีพาสปอร์ตสัญชาติอังกฤษอยู่ในขณะนี้หรือไม่ เพราะทุกคำตอบล้วนเป็นคำพูดลอยๆจากปากนายอภิสิทธิ์โดยไม่เคยได้รับการพิสูจน์ความจริงใดๆ แม้คนเราจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่โดยข้อเท็จจริงผู้เป็นบุพการีเลือกเกิดให้ลูกได้ เพื่อให้ลูกรับประโยชน์และการดูแลที่ดีที่สุด ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งผิด กรณีของนายอภิสิทธิ์จึงถือว่ามี “อภิสิทธิ์” ตั้งแต่เกิด ย้อนคำโกหก ปชป. เมื่อย้อนไปครั้งนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ถูกพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยกล่าวหาว่าใช้ใบสัญชาติปลอม ไม่ได้ถือสัญชาติไทย อีกทั้ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายคนได้เย้ยหยันทั้งคำพูดและสีหน้า จนนางสาวกัญจนา ศิลปอาชา “หนูนา” บุตรสาว ถึงกับร้องไห้ สุดท้ายนายบรรหาร ก็น้อยใจและประกาศลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งต่อมาภายหลังมีการตรวจสอบเรื่องหลักฐานที่นำมาอภิปรายปรากฏว่าเป็น “หลักฐานเท็จ” ในขณะที่วันนี้ปัญหาการถือ 2 สัญชาติของนายอภิสิทธิ์ถูกตั้งคำถาม ในฐานะผู้นำประเทศว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่นายอภิสิทธิ์กลับตะแบงไปเรื่องข้อกฎหมายไม่ชัดเจน ซึ่งนายบรรหารได้กล่าวว่าเหมือนครั้งที่ตนถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ครั้งนั้นหลักฐานไม่มีอะไรเลย เป็นเพียงใบสัญชาติปลอมที่นำใบจริงมาปิดบังบางส่วน แล้วนำไปถ่ายเอกสาร ซึ่งไม่ตรงกับของจริงกับใบต้นขั้วที่อยู่กับกองตรวจคนเข้าเมือง ขณะที่นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ แกน นำพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาปกป้องนายอภิสิทธิ์ โดยอ้างว่าการอภิปรายเรื่องสัญชาติของนายจตุพร ลาม ปามถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เพราะมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคนเกิดที่ต่างประเทศเหมือนกัน แต่ก็มีสัญ-ชาติไทยโดยถูกต้อง ซึ่งเห็นชัดเจนว่าพยายามบิดเบือน เอาเรื่อง “เบื้องสูง” มาปกป้องเรื่องสัญชาติของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรและน่าละอายอย่างยิ่ง เหมือนที่ทุกวันนี้รัฐบาลพยายาม เอาข้อหา “ล้มเจ้า” มาทำลายคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม “อภิสิทธิ์” ไร้ภาวะผู้นำ การพยายามบ่ายเบี่ยงหรือไม่ตอบอย่างตรงไปตรงมาของนายอภิสิทธิ์ จึงทำให้หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ถึงภาวะความเป็นผู้นำ อย่างที่พรรคเพื่อไทยยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์และ 9 รัฐมนตรี โดยระบุว่านายอภิสิทธิ์ไร้วุฒิภาวะการเป็นผู้นำ พูดจาไม่มีสัจจะ ถือ 2 สัญชาติ ทั้งละเว้นและปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม ในทางตรงกันข้ามกลับบังคับใช้กฎหมายโดยขาดความเสมอภาค เลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐาน จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่เคารพหลักประชาธิปไตย ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง ทำลายระบบราชการ ขยายความขัดแย้ง แตกแยกในสังคม ล้มเหลวในการแก้ปัญหาความมั่นคงภายในประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ระบุ บนเวทีการชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ว่า นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีที่โกหกปลิ้นปล้อน โกหกตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งนายกฯที่ได้แถลงต่อประชาชนเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2551 หลังจากรับโปรดเกล้าฯเป็นนายกรัฐ-มนตรี ปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ไม่สามารถทำได้อย่างที่แถลงแม้แต่ข้อเดียว และยังมีพฤติกรรมโกหกประชาชนต่อไปเรื่อยๆอีกด้วย นายสนธิยังประณามนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นคนวิ่งหนีปัญหาตลอด และไม่เคยรับผิดชอบแม้แต่เรื่องเดียว ทำเป็นอยู่อย่างเดียวคือตั้งกรรมการ เป็นคนไม่กล้าตัดสินใจใดๆทั้งสิ้น แม้แต่การได้ตำแหน่งนายกฯที่นายอภิสิทธิ์บอกว่าเสียงข้างมากเดิมในสภาผู้แทนราษฎร มีปัญหา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่จึงตัดสินใจสนับสนุนขึ้นมาตามวิถีทางประชาธิปไตย และวิถีทางของกระบวนการของรัฐสภา แต่นายอภิสิทธิ์กลับไม่เล่าความจริงว่า ที่สภายกมือให้นายอภิสิทธิ์เป็นเพราะ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ขณะนั้น) และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เอาหัวหน้าพรรคร่วม รัฐบาลเข้าไปที่กรมทหารราบ 11 แล้วขอให้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ หากไม่ทำเช่นนั้นจะปฏิวัติ นิติรัฐแบบ “อภิสิทธิ์” จะเท็จหรือจริงนายอภิสิทธิ์ก็ต้องชี้แจงในสภา แล้วก็มีคำถามว่า สิ่งที่นายสนธิกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ เพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีข้อมูลและเบื้องหลังมากมายที่ถูกนำมาเปิดเผย โดยเฉพาะเว็บไซต์วิกิลีกส์ที่นำหลักฐานการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และการเป็นนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ โดยพาดพิงถึง อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี และนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งยังมีประเด็นเรื่องสถาบันเบื้องสูงที่นายจตุพรถามนายอภิสิทธิ์ว่า มีการดำเนินการกับบุคคลดังกล่าวว่าเข้าข่ายกระทำผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ อย่างไร ไม่ใช่เลือกปฏิบัติเฉพาะฝ่ายตรงข้าม อย่างที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ว่า จะเร่งจับกุมผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (เครือข่ายล้มเจ้า) ซึ่งเตรียมขอศาลออกหมายจับอีก 5 คน หลังจากเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือสุรชัย แซ่ด่าน แกนนำกลุ่มแดงสยาม ข้อหากระทำความผิดตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในการปราศรัย ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว เมื่อปลายปี 2553 อาก้ายิงช่างภาพญี่ปุ่น? เช่นเดียวกับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่แทบไม่มีความคืบหน้า ในการสอบสวนและชันสูตร 91 ศพเลย แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ นายธาริตและ พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้บัญชาการ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ในฐานะที่ปรึกษาดีเอสไอ ได้แถลงกรณี การเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น ว่า ดีเอสไอได้ขอความร่วมมือจาก พล.ต.ท.อัมพรมาตรวจสอบผลการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมกลุ่ม นปช. อย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะนายมูราโมโตได้ผลสรุปว่าบาดแผลเข้าออกมีขนาดใหญ่ จึงมั่นใจว่าไม่ใช่เอ็ม 16 แต่ศพอื่นไม่ยืนยัน เพราะกระสุนปืนมีขนาดใกล้เคียงกับบาดแผลคือประมาณไม่น้อยกว่า 7 มิลลิเมตร ซึ่งปืนที่ใช้กันอยู่ในภูมิภาคแถบนี้มากมีอยู่ 2-3 แบบคือ ปืน AK 47 (ปืนอาก้า) ปืน 05 NATO และปืนเซกาเซ่ (SKS) โดยมีขนาดเท่ากันหมดคือ 7.62 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นอาวุธที่ไม่มีทหารนำไปใช้ แม้นายธาริตจะออกตัวว่าไม่มีเจตนาซักฟอกคดีให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และได้ส่งรายงานผลการชันสูตรพลิกศพนายมูราโมโตไปให้สถานทูตญี่ปุ่นนานกว่า 3 สัปดาห์ก่อน ที่จะนำมาเปิดเผยโดยสื่อมวลชน แต่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็พยายามป้อนคำถาม เพื่อให้ พล.ต.ท.อัมพรอธิบายความหมายถึงคำว่า “LEAD SNOW STORM” คืออะไร แต่ พล.ต.ท.อัมพรไม่ตอบ กล่าวเพียงว่าไม่เกี่ยวกับการแถลงข่าว ถ้าอธิบายต้องใช้เวลานาน นี่เป็นการแถลงข่าว ไม่ใช่เวลามาเลกเชอร์ ทำให้บรรยากาศการแถลงข่าวเริ่มตึงเครียด ก่อนที่ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวซินหัวของจีนจะถามว่าเมื่ออธิบายไม่ได้แล้วมานั่งร่วมแถลงข่าวทำไม ทำให้ พล.ต.ท.อัมพรถึงกับเครียดและบอกว่าอยากรู้รายละเอียดเดี๋ยวไปถามด้านนอก จากนั้นก็ยุติการแถลงข่าวและเดินทางกลับทันที ข้อมูลใหม่ดังกล่าวทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ถือโอกาสเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับทหารทันที โดยกล่าวว่า เมื่อยังไม่ชี้ชัดว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ เพราะ 91 ศพมีทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน ตำรวจอัดดีเอสไอมั่ว “เรื่องนี้ตลกที่ดีเอสไอส่งมาให้ผม โดยเชื่อว่าอาจเป็นการกระทำที่เกิดจากทหาร เป็นไปได้ แต่ไม่ได้ฟันธงทั้งหมด 91 ศพ ก็ส่งมาให้ทำสำนวนแค่ 13 ศพ เมื่อส่งมาทำแล้วพบว่า เป็นการเชื่อลอยๆ โดยบอกว่าตอนเกิดเหตุกล้องหันหน้าไปทางทหาร เชื่อว่ากล้องหันหน้าไปทางนั้นก็น่าจะถูกทหารยิง ซึ่งเป็นภาพสุดท้ายในกล้อง แต่ปรากฏว่ากล้องถูกปิดหน้ากล้องไปก่อนแล้ว ขณะถูกยิงกล้องไม่ได้ทำงานอยู่ ถูกยิงตรงไหนก็ไม่รู้ จะหันไปทางไหนก็ได้ อาจจะครึ่งชั่วโมงจากนั้นแล้วถูกยิงก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นข้อสันนิษฐานไม่ใช่ ก็มีการไปสอบเรื่องนี้แล้ว นอกจากนี้คืนวันนั้นก็มีชายชุดดำใช้ปืนอาก้ายิง ยิงแล้วไปแอบต้นเสา เมื่อทางดีเอสไอไปสอบอาจารย์อัมพร พบว่าน่าจะเป็นอาก้า ก็จะขอเรื่องคืนจากผม คล้ายตัวเองไม่ติดใจ คิดว่าไม่ใช่ทหาร จึงจะเอาคืน ซึ่งก็ยังไม่คืน แต่ต้องสอบให้หมดก่อนจึงค่อยคืน คือตัวเองสงสัยเองและหมดข้อสงสัยเอง โดยเรายังไม่ทันทำอะไร ใช้ภาษาชาวบ้านคือมั่ว” พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. (ดูแลงานสอบสวน) กล่าวถึง กรณีผลสอบสวนการเสียชีวิตของช่างภาพญี่ปุ่นว่า นอกจากนี้คดีอื่นก็มั่ว เช่น คดีที่วัดปทุมวนารามที่ตาย 6 ศพ แต่ดีเอสไอส่งมาให้แค่ 3 ศพ ทำไมไม่ส่งทั้งหมดทั้งที่อยู่ในสมรภูมิเดียวกัน ก็บอกเพราะ 6 ศพมีกระสุนเอ็ม 16 ฝังอยู่ ก็เลยบอกว่าไม่น่าจะยาก แค่เอากระสุนเอ็ม 16 ของทหารไปตรวจเทียบเคียง ก็บอกว่าทหารเปลี่ยนปืนมาตรวจ ก็บอกไปว่าเปลี่ยนไม่ได้เพราะมีบัญชีอาวุธปืน ในเสื้อแดงก็มี นายจตุพรก็รู้ว่าเอาปืนกระบอกไหนมาใช้งาน หน่วยนี้เบิกมาจากลพบุรี หน่วยนี้มาจากสระบุรี มีครบหมด น้ำมันกี่หยด กำลังพลมีกี่คน อยู่ที่เสื้อแดงหมดแล้ว เพราะมีแตงโม มีอะไรเยอะ หากไปตรวจแล้วไม่ใช่ก็จบ เรื่องนี้ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ เอาความเห็นส่วนตัวไม่ได้ ทหารที่อยู่บนรางรถไฟฟ้า ถามว่ายิงไหมก็ยิง บางส่วนยิงสกัด เพราะมีกองกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ก็ต้องตรวจว่าพวกที่ใช้ปืนนี้ไปตรงกับคนตายหรือเปล่า ฆาตกรรมประชาชน! “หน้าที่เบื้องต้นของผมคือการยุติการเมืองที่ล้มเหลว การเมืองที่ล้มเหลวคือ ต้นเหตุของความขัดแย้ง การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งภาค แบ่งสีที่เกิดขึ้นอยู่ในประเทศของเราในขณะนี้ ผมจะขจัดการเมืองที่ล้มเหลวออกไป และจะนำความสมัครสมานสามัคคีกลับคืนมา” คำแถลงของนายอภิสิทธิ์จึงยิ่งตอกย้ำถึงความล้มเหลวในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งกว่า 2 ปีที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ได้แต่เดินสายสร้างภาพและขายฝัน ท่าม กลางภาวะที่ง่อนแง่นทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และความ น่าเชื่อถือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งที่นายอภิสิทธิ์ให้ใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามประชาชน จนเกิดการสังหารโหดมากที่สุดในประวัติ ศาสตร์การเมืองไทย แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์ก็ยังลอยหน้าและเดินสายสร้างความชอบธรรมว่า เป็นนักการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย เรียกร้องความสามัคคีปรองดอง แต่กลับใช้กฎหมายต่างๆที่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพและสิทธิความเป็นมนุษย์อย่างพร่ำเพรื่อไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร “การกระทำของนายอภิสิทธิ์กับพวกในลักษณะล้อมปราบเพื่อฆาตกรรมประชาชน โดยปิดกั้นเส้นทางจราจร ในลักษณะที่เรียกว่าปิดประตูตีแมว ไม่อยู่ในหลักสากลที่พึงกระทำ โดยเจตนาเล็งเห็นผล อันถือเป็นการกระทำที่มีมูลความผิดทางอาญาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” คำบรรยายการถอดถอนนายอภิสิทธิ์ของพรรคเพื่อไทยที่ระบุข้อหา “ฆาตกรรมประชาชน” ว่า นายอภิสิทธิ์กับพวกในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่เป็นตัวการร่วมกันในลักษณะก่อให้ผู้อื่นกระทำผิดกฎหมาย ด้วยการใช้หรือสั่งการอันเป็นเหตุให้เกิดการ “ฆาตกรรม” บุคคลจนถึงแก่ความตายหลายราย น่าอาย? แม้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะคุ้มครองข้อกล่าวหา “ฆาตกร” ของนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. เช่นเดียวกับการยื่นคำร้องต่อไอซีซีให้สอบสวนเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีโอกาสน้อยมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีช่องทางนำการสังหารโหดครั้งนี้ สู่กระบวนการยุติธรรม แม้แต่กรณีถือ 2 สัญชาติของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งวันนี้นายอภิสิทธิ์ก็ไม่เคยตอบว่าเคยถือ เคยมี เคยใช้ หรือยังใช้พาสปอร์ตอังกฤษอยู่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ใช้วาทกรรมอ้างว่ากฎหมายไทยไม่ชัดเจน และ กกต. รับรองว่า การลงสมัครรับเลือกตั้งของตนถูกต้องการมี 2 สัญชาติจึงไม่มีปัญหานั้น แม้นายอภิสิทธิ์จะใช้โวหารแบบฉาบฉวยหรือโกหกจนไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ หรือทำเป็นไม่รู้ก็ตาม นายอภิสิทธิ์ก็คงไม่ลืมคำพูดเรื่องการถือ 2 สัญชาติของคนไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ตามกฎหมายบุคคลเมื่อบรรลุนิติภาวะแล้วจะไม่ให้ถือ 2 สัญชาติ ต้อง เลือกว่าจะใช้สัญชาติใด แต่นายอภิสิทธิ์เป็นถึงผู้นำประเทศ และเป็นนักเรียนที่จบจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดที่มีชื่อเสียงของโลก ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไม่รู้เรื่องกฎหมาย แต่กลับตะแบงหรือแสดงความกำกวมเหมือนคนปลิ้นปล้อนเรื่องสัญชาติของตนเองว่า “ถ้าจะสละให้เหลือสัญชาติไทยสัญชาติเดียว ก็ได้ แต่ถามว่าให้ปฏิบัติอย่างเสมอกันทุกคนเอาไหม” คำพูดและพฤติกรรมต่างๆของนายอภิสิทธิ์จึงสะท้อนให้เห็นชัดเจน ถึงภาวะผู้นำที่ขาดความจริงใจ โปร่งใส และกล้าสู้ความจริง แม้รัฐธรรมนูญและกฎหมายไทยไม่มีข้อห้ามเรื่องการถือ 2 สัญชาติ แต่คนระดับผู้นำประเทศต้องมีความรับผิดชอบทางการเมืองและธรรมาภิบาลสูงกว่าคนทั่วไป จึงต้องมีสามัญสำนึกว่าอะไรควรหรือไม่ควร และสมควรหรือไม่ที่ผู้นำประเทศจะถือ 2 สัญชาติ ไม่ใช่ใช้วาทกรรมเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม “...ความจริงบุคคลเมื่อบรรลุนิติภาวะ ตามปรกติแล้วจะไม่ให้ถือ 2 สัญชาติ ต้องเลือกว่าจะใช้สัญชาติใด...” “...ตามเจตนารมณ์ให้มีสัญชาติเดียว ซึ่งเจ้าตัวต้อง เลือก ทั้งนี้ รัฐบาลจะขอดูข้อกฎหมายก่อนว่าจะสามารถ ยกเลิกสัญชาติไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณได้หรือไม่...” ประโยคเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย 2 สัญชาติ น่าอายหรือไม่? เมื่อคนพูดต้องกลับมาอ่านประโยคเหล่านี้... ในฐานะนักการเมืองผู้เสพติดในอำนาจอาจ “ด้าน” พอ... จนไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ในฐานะ “ประมุขฝ่ายบริหารของประเทศไทย”...คือเรื่อง “น่าอับอาย” ยิ่งนัก!! ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 301 วันที่ 5 – 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 หน้า 16-17 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน http://www.dailyworldtoday.com/newsblank...ws_id=9871 |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น