วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554


เป็นประชารัฐ

เห็นด้วยกับ กกต.

เป็นประชารัฐ
http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=51578
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3035 ประจำวัน อังคาร ที่ 19 เมษายน 2011
         โดย อัคนี คคนัมพร

         ความขัดแย้งของบุคคลในแวดวงการเมืองเกี่ยวกับเรื่องสถาบันกษัตริย์ชักจะมีมากขึ้นทุกที

ที่ว่ามีมากนั้นไม่ใช่สาระว่าประเทศไทยควรมีสถาบันกษัตริย์เป็นประมุขต่อไปหรือไม่ หากกลายเป็นเรื่องที่ว่าใครจงรักภักดี ใครไม่จงรักภักดี ใครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ใครไม่หมิ่นฯ

จากนั้นก็มีการกล่าวหา และมีการโต้ตอบกันถึงขั้นขึ้นโรงพักสำราญราษฎร์และโรงพักอื่นๆ ตลอดจนขึ้นศาล

ผู้เขียนเคยแสดงความเห็นไว้ในที่นี้หลายครั้งแล้วว่าเรื่องประเทศไทยกับสถาบันกษัตริย์นั้นเป็นเรื่องอันได้ข้อยุติแล้ว และเป็นการได้ข้อยุติตั้งแต่การปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 โน่น

กล่าวคือ คณะราษฎรผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ลงมติกันว่าประเทศไทยจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

พ.อ.พระยาพหลฯเคยพูดไว้ชัดเจนว่าท่านเป็นหัวหน้าผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ใช่หัวหน้าคณะชิงราชบัลลังก์ ซึ่งทุกอย่างก็เป็นจริงตามนั้น
ดังนั้น มติอันนี้ก็ดำรงเรื่อยมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง อะไรที่เกี่ยวโยงถึงสถาบันกษัตริย์แล้วในสภาผู้แทนราษฎรจะไม่พูดถึงกัน หรือถ้าสมาชิกคนใดพูดถึงประธานสภาก็มักจะห้ามปราม ทั้งนี้ เพราะการเมืองเป็นเรื่องที่อยู่ต่ำลงมาจากสถาบันสูงสุด

เรื่องก็เป็นไปด้วยดีเรื่อยมา

เพียงแต่ปัจจุบันนี้มักจะมีการพูดถึงสถาบันกษัตริย์มากขึ้น การพูดนั้นมีแนวทางยกตัวเองว่าเป็นผู้เชิดชูสถาบัน และฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ทำลายสถาบัน

อ้างกันถึงขั้นยึดอำนาจอธิปไตยไปจากปวงชนอย่างชัดแจ้งในวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นเรื่องที่คนกลางๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ออกปากว่าหมิ่นเหม่ น่าหวาดเสียวเหลือเกิน

จากนั้นก็มีการพูดซัดกันไปซัดกันมา ทำท่าจะไม่รู้จักจบสิ้น
พรรคการเมืองบางพรรรคถึงแก่เอาไปประกาศเป็นนโยบายว่าจะปกป้องสถาบันกษัตริย์ ซึ่งความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะทุกพรรคต่างก็ยึดถือแนวคิดนี้ไว้ในใจอยู่แล้ว

การประกาศตัวเองเป็นผู้ปกป้อง และผลักใสพรรคอื่นให้กลายเป็นผู้โค่นล้ม ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องดิ้นรนต่อสู้ ซัดกันไปซัดกันมา หนักเข้าพรรคการเมืองก็ไม่ได้พูดเรื่องนโยบายแก้ไขปัญหาของประเทศ หันมาเถียงกันเรื่องสถาบัน ภาพลักษณ์ กลายเป็นว่าประเทศนี้มีปัญหาเรื่องสถาบันหนักกว่าปัญหาอื่น ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริงและไม่เข้าท่า

ผู้มีปัญญาจึงต้องหาวิธียุติ

เวลานี้ใกล้จะยุบสภา และมีการเลือกตั้งใหม่

มีข่าวว่า กกต. ซึ่งรู้และเข้าใจปัญหานี้ดีพอสมควรคิดจะออกระเบียบห้ามผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่เข้าแข่งขันรับเลือกตั้งรณรงค์หาเสียงพาดพิงถึงสถาบัน

ที่ผ่านมาผู้เขียนยอมรับว่าไม่พึงพอใจต่อการทำงานของ กกต. หลายเรื่อง แต่พอมาถึงเรื่องนี้ขอบอกว่าผู้เขียนเห็นด้วย และขอสนับสนุนอย่างเต็มที่

เหตุที่ต้องเชียร์กันอย่างเต็มที่ก็เพราะแลเห็นแนวโน้มว่าถ้าไม่มีมาตรการใดๆป้องกันการแอบอ้าง แอบอิงสถาบัน ในการเรียกหาความนิยมและในการทำลายปฏิปักษ์แล้ว พรรคการเมืองบางพรรรค นักการเมืองบางคนจะสนุกกันใหญ่
แต่จะไม่เกิดผลดีต่อสถาบันและประเทศชาติโดยรวมเลย

ดำริของ กกต. นี้ทราบว่ารัฐบาลก็เห็นด้วย และกระตุ้นให้ กกต. ช่วยดำเนินการ ผู้เขียนจึงหวังว่าพรรคฝ่ายค้านจะร่วมสนับสนุนอีกแรงหนึ่ง เพื่อช่วยกันเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ไว้เหนือการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องของความขัดแย้ง

อย่างนี้จึงจะเรียกว่าจงรักภักดีแท้จริง

*********************************
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น