วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554


พรรคใหญ่ใครจะเข้าจะออกถือเป็นเรื่องธรรมดา


สำนัก(ข่าว)พระพยอม
        
            http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=51628
           จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3036 ประจำวัน พุธ ที่ 20 เมษายน 2011
         โดย พระพยอม กัลยาโณ


เห็นการลาออกของสมาชิกพรรคเพื่อไทยหลายครั้ง ล่าสุดเป็นคิวของพ่อใหญ่จิ๋ว หลายคนเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เชียร์หรือชังพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา

เรื่องที่มองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวและการเอาตัวรอดของคนในองค์กรๆใหญ่มักมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แม้แต่ในพรรคการเมืองใหญ่ก็เกิดขึ้นอยู่เสมอ กรณีพรรคการเมืองใหญ่อย่างเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์ถือว่ามีกลุ่มก๊วนภายในค่อนข้างมาก

สำหรับพรรคเพื่อไทยนั้นต้องยอมรับว่ามีกลุ่มก๊วนมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคการเมืองอื่นๆ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นการลาออกหรือการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง อาจมีคนโหวกเหวกโวยวายบ้างเป็นเรื่องธรรมดา หรือบางคนก็ไปแบบนิ่มๆ ไปแบบหวานเจี๊ยบ

อีกด้านหนึ่งอาจเห็นนักการเมืองหน้าใหม่เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งเป็นเรื่องปรกติ ไม่ว่าจะองค์กรไหนหากมีคนสังกัดอยู่ในองค์กรนั้นมากๆย่อมมีคนไหลเข้าไหลออกเป็นธรรมดา ไม่ต่างอะไรจากยวดยานที่วิ่งกันบนถนน ยิ่งมากคันเท่าไรยิ่งมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น ส่วนพรรคการเมืองไหนมีสมาชิกพรรคน้อยก็มีปัญหาน้อย

ตอนที่พรรคไทยรักไทยและพลังประชาชนถูกยุบคนของพรรคนี้ก็ไหลออกกันเป็นว่าเล่น โลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืนค้ำฟ้า โดยเฉพาะปุถุชนนั้นย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง อย่าหวังว่าจะมีอะไรอยู่ยงกระพันเป็นอมตะนิรันดร

ขนาดพระอรหันต์ยังมีความเห็นแตกต่างกัน เช่น เรื่องเล่าในพุทธกาลที่มีการตั้งคำถามกันว่าป่านี้จะงามเพราะพระได้อย่างไร พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า พระที่มีปัญญา พระโมคัลลานะบอกว่าต้องเป็นพระที่มีฤทธิ์ ส่วนพระอานนท์บอกว่าต้องเป็นพระที่ท่องจำคำสอนของพระพุทธองค์ได้ทั้งหมด และพระมหากัสสปะบอกว่าต้องธุดง ต้องเคร่งครัดถึงจะทำให้ป่างาม สรุปว่าแม้แต่พระอรหันต์ทั้งหลายยังมีความเห็นในเรื่องเดียวกันไม่ตรงกันเลย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่นักการเมืองจะมีความเห็นในเรื่องเดียวกันไม่เหมือนกัน ซึ่งที่ผ่านมาบางคนบอกว่าพรรคจะเข้มแข็งต้องมีคนอย่างนี้อยู่ ถ้าไม่อยู่พรรคจะอ่อนแอ จะต้องมีคนพูดเก่ง จะต้องมีดาวสภา

ธรรมชาติของคนมักนึกถึงผลประโยชน์ หากผลประโยชน์ไม่ตรงกันก็เหมือนกับผึ้งแตกรัง แต่ถ้าเมื่อใดสมประโยชน์ก็จะกลับมารวมกันอีกครั้ง ซึ่งอดีตอาจจะเป็นอย่างหนึ่ง ปัจจุบันเป็นอีกอย่างหนึ่ง ส่วนในอนาคตคงหนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้เช่นกัน คือดูผลประโยชน์เป็นหลัก ซึ่งเป็นเรื่องที่พบเห็นกันบ่อยๆในทุกยุคทุกสมัย จึงไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไร

สาเหตุในการลาออกแต่ละท่านแตกต่างกันไป แต่เรื่องแบบนี้จะมีอยู่คู่กับโลกและพรรคการเมือง จะไม่มีคำว่ารายสุดท้าย แต่จะมีต่อไปอีกนับไม่ถ้วนตราบเท่าที่ยังมีระบบพรรคการเมืองอยู่คู่กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

มีคนถามว่าทำไมการเมืองถึงเป็นเช่นนี้ อาตมาตอบกลับไปว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง “ตถาตา” และจะเป็นอย่างนี้ต่อไป เพราะธรรมชาติของมนุษย์หากรู้ว่าภัยจะมาถึงตัวต้องหลีกภัย เหตุการณ์บ้านเมืองก็เป็นอย่างเดียวกัน พอมีเหตุวุ่นวายเกิดขึ้นมักมีการตั้งกฎ ร่างกติกา เขียนกฎหมายขึ้นมาเพื่อให้ทุคนอยู่ร่วมกันได้ แต่เมื่อทำขึ้นมาแล้วจะมีใครคิดแหกกฎหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคนคนนั้น อย่างกรณีล่าสุดที่ กกต. เขียนกฎหมายปราบนักการเมืองด้วยการห้ามหาเสียง หรือห้ามทำอะไรที่เป็นการอิงสถาบัน แม้จะมีนักการเมืองไม่เห็นด้วยออกมาวิจารณ์กฎหมายนี้ก็ตาม แต่สิ่งที่ กกต. ทำเพื่อไม่ให้ใครนำเอาสถาบันมาแอบอ้างเพื่อประโยชน์ของตน

ฉะนั้นมนุษย์เมื่อเห็นกฎหมายอย่างนี้ย่อมต้องเกรงและรู้จักหลบ เพราะถ้ายังไม่ฟังกัน ยังคิดจะชนดะ คิดว่าเป็นคนตรง หลบไม่ได้ ก็คงจะยุ่ง
เจริญพร

***************************
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น