วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554


ฟังแล้วซี๊ด! ศาลรัฐธรรมนูญป่วน เหตุเพราะ‘ผู้มีอำนาจกังฉิน’




เมื่อได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดจาก “เลขาฯ หน้าห้อง” บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญคนดังกล่าว คงต้องถามไปถึงตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญ “ชัช ชลวร” ว่าได้เคยรู้เคยเห็นกับเรื่องราวฉาวโฉ่ที่เกิดขึ้นบ้างหรือไม่?
ภายหลัง “ตำรวจกองปราบ” ขออนุมัติหมายจับ “พสิษฐ์ ศักดาณรงค์” เลขานุการ “ชัช ชลวร” ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และ “ชุติมา แสนสินรังสี” เจ้าหน้าที่ประจำศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีเผยแพร่คลิปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหา ส.ส.ทีมกฎหมาย คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ล็อบบี้เลขาฯ ส่วนตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
ซึ่งตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดถึง...และไม่มีใครที่จะสืบสาวราวเรื่องเพื่อควานหาตัว “ผู้กระทำผิด” มาลงโทษ
แต่ความจริงที่ถูกปิดบัง...วันหนึ่งย่อมถูก “เปิดเผย” เพราะไม่มีความลับใดในโลกที่ถูกปกปิดไว้ตลอดกาล...หากมีผู้รู้เห็นมากกว่า 2 คน
โดยเฉพาะความวุ่นวายในศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา..ต้องถามว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร?
ทำไมจึงมีแต่ภาพที่ไม่ดีหลุดออกมาสู่สายตาประชาชน...ทั้งที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” น่าจะเป็นองค์ที่โปร่งใส และมีการจัดการกับเรื่องราวทุจริตอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม เลขาฯ หน้าห้องบิ๊กศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่ง ได้เขียนหนังสือเปิดผนึกไปถึงนายกรัฐมนตรี/ประธานรัฐสภา/ประธานศาลฎีกาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนเมื่อเร็วๆ นี้
เพื่อต้องการสื่อสารให้คนภายนอกได้รู้ความจริงอย่างที่เธอได้รู้มา...ซึ่งเป็นข้อมูลเดียวกับที่ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” กำลังได้รับ และจะถูกนำมาต่อยอดภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางในในสภา
โดยจับเนื้อหาใจความสำคัญได้ว่า...
1. ข้าพเจ้าปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้าห้อง “บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญ” (คนหนึ่ง) ตั้งแต่ปฏิบัติหน้าที่ลูกจ้างชั่วคราวตามโครงการฯ จนหลังสุดในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 3
ซึ่งบางขณะที่มีการประชุมลับในสถานที่ต่างๆ เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเตรียมอาหารและของว่าง...ทำให้ข้าพเจ้าได้ทราบถึงประเด็นสำคัญ “ระดับประเทศ” หลายครั้งหลายครา
ตัวอย่างเช่น ครั้งที่มีการประชุมนอกรอบที่ “โรงแรมปาร์คนายเลิศ” ข้าพเจ้าได้เห็นและได้ยินการพูดหารือของ “บุคคลสำคัญ” หลายคน...ซึ่งเป็นการพูดพาดพิงไปถึงอดีตนายกรัฐมนตรี “บรรหาร ศิลปอาชา”
โดยบริบทของการพูดในวันนั้น...เพื่อต้องการไม่ให้ไปตาม “นาย จ.” เพราะคนๆ นั้นเป็นคนที่อยู่ในก๊วนเดียวกับอดีตนายกฯ บรรหาร...เหมือนบุคคลที่ร่วมหารือกำลังเล่นเกม “หักเหลี่ยมเฉือนคม” เพื่อไม่ให้กลุ่มอื่นรู้ความเคลื่อนไหวของกลุ่มตน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการหารือเกี่ยวกับ “การล็อบบี้เสียงตุลาการ” ให้ยุบ 3 พรรคการเมือง คือ พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคชาติไทย และ พรรคพลังประชาชน โดยมีการเปิดห้องพูดคุยกันเป็นทางลับ
2. ข้าพเจ้าได้เห็นและได้ยิน “บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญ” ใช้โทรศัพท์ของคนสนิทโทรไปหา “รัฐมนตรีคนหนึ่ง” เพื่อนัดแนะมาพบกัน เพราะต้องการสั่งให้อัดภาพและเสียงเพื่อนำไปใช้ในคดียุบ 3 พรรคการเมืองโดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ข้อที่ 1 ข้างต้น
หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ที่ร้านอาหารเดิม เวลาประมาณ 20.00 น. ได้มีการปิดห้องคุยกัน 3 คน ประกอบไปด้วย “สองบิ๊กรัฐบาล” และ “คนสนิท” ของบิ๊กศาลรัฐธรรมนูญ
วันนั้นจำได้ว่า “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ประกาศน่าจะเป็น พรก.ฉุกเฉินบางพื้นที่...เมื่อพูดคุยกันเสร็จ...บิ๊กรัฐบาลคนหนึ่ง ได้เดินออกมาพูดกับข้าพเจ้าว่า...ขอบคุณมากอุตส่าห์เฝ้าหน้าห้องให้ แล้วจึงแยกย้ายกันกลับไป
3. ข้าพเจ้าได้มีโอกาสติดตาม “บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญ” และ “คนสนิท” เดินทางไปยังห้องประชุมใหญ่กองทัพบก ตรงข้ามสนามมวยราชดำเนิน เพราะมีแฟกซ์โดยฝ่ายทหาร เรียกหัวหน้าหน่วยราชการเข้าประชุม
โดยขณะเดินทาง “บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญ” พูดขึ้นว่า...
“โอกาสทองมาแล้ว...เดี๋ยวพี่จะหาทางโน้มน้าวไม่ให้ “บิ๊กทหาร” (ซึ่งคุมกองกำลังขณะนั้น) ทำการปฏิวัติ”
4. บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ข้าพเจ้า “เปลี่ยนถ่านแบตเตอรี่” กระเป๋าหิ้วใบเล็ก ซึ่งภายในบรรจุกล้องอัดภาพและเสียงขนาดเล็ก ก่อนลงไปประชุมคณะตุลาการเกือบทุกครั้ง
5. บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญพูดกับข้าพเจ้าเสมอว่า “ผมไว้ใจคุณมาก อะไรที่ส่งเสริมได้ ผมก็จะส่งเสริม ไม่ใช่มีแต่ “นาย จ.” คนเดียวที่ส่งเสริมคุณได้ ตั้งใจทำงานดีๆ อย่างซุ่มซ่าม”
6. ข้าพเจ้าได้เห็นและได้ยิน “บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญ” สั่งเลขาธิการ และคนสนิทที่บริเวณหน้าลิฟท์ VIP ชั้น 9 ก่อนลงประชุมคณะตุลาการว่า...
“โครงการใหญ่ ลองช่วยกันดูหน่อย “เด็กอดีตนายกฯ คนหนึ่ง” อยากได้แบบเค้าไม่มีกำไรเลย”
โดยคนสนิทหัวเราะแล้วส่ายศรีษะ...ส่วนท่านเลขาธิการเกาศรีษะ แล้วคนสนิทก็พูดขึ้นว่า “ใครดีใครได้ครับ ไม่รู้ว่าดีจากอะไร ได้จากอะไร พี่ว่าไง”
ท่านเลขาธิการตอบ “มันเป็นเรื่องของกรรมการครับ” บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญพูดว่า “เออ”
7. การที่ข้าพเจ้าลาออกแล้วเดินทางไปต่างประเทศฮ่องกงเพื่อตามหาคนสนิทของบิ๊กศาลรัฐธรรมนูญแต่ไม่พบนั้น...น่าจะเป็นเหตุสำคัญยิ่งยวดเช่นกัน ที่ทำให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลพยายามชักโยงข้าพเจ้า เข้าเกี่ยวข้องเป็นช่องแห่งหนทางออกหมายจับข้าพเจ้า
8. ข้าพเจ้าเคยได้ยินและได้เห็น “บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญ” พูดคุยกับ “นาย ส.” ในห้องทำงานของตนโดยข้าพเจ้าเป็นคนยกน้ำชาเข้าไปให้
ซึ่งบิ๊กศาลรัฐธรรมนูญพูดว่า “ผมขอบใจในความสามารถของ “คุณ ส.” ผมถึงนั่งเก้าอี้ตัวนี้ได้”
9. ข้าพเจ้าเดินทางไปพบ “บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญ” ที่บ้านพร้อม “คนสนิท” โดยเวลานั้นข้าพเจ้ารออยู่ในรถ...คนสนิทเดินเข้าไปพบบิ๊กศาลรัฐธรรมนูญภายในบ้าน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที...ซึ่งได้มารู้ภายหลังว่าเป็นการพูดคุยกันเรื่องการ “ล็อครายชื่อ สว.สรรหา” เพื่อนำโควต้าคนของตนให้เข้าไปทำงานร่วมในคณะสมาชิกวุฒิสภา
เหตุการณ์สำคัญทั้งหมดที่กล่าวมา...เลขาฯ หน้าห้องบิ๊กศาลรัฐธรรมนูญเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกจับเข้าไปพัวพันกับปัญหาดังกล่าว เพราะความสนิทสนมอย่างยิ่ง และเป็นที่ไว้วางใจของ “บิ๊กศาลรัฐธรรมนูญ” และ “คนสนิท” จนเป็นที่รู้กันของคนทั้งสำนักงาน
ดังนั้น เหตุใดๆ ที่เกิดขึ้นจากบุคคลทั้ง 2 ก็ยากที่จะไม่ทำให้เป็นที่อิจฉาไม่มากก็น้อย
เมื่อได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดจาก “เลขาฯ หน้าห้อง” คงต้องถามไปถึงท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญ “ชัช ชลวร” ว่าได้เคยรู้เห็นกับเรื่องดังกล่าวบ้างหรือไม่?
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็น “เรื่องใหญ่” ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เป็นอย่างมาก
อีกทั้ง ประชาชนยังหมดสิ้นในความน่าเชื่อมั่นต่อ “ผู้ถือกฎหมาย” เพราะได้รับรู้ถึงวิธีการใช้กฎหมายในทางที่ผิด ซึ่งเป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องและตนเอง
ที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” เองก็มีอำนาจที่เรียกได้ว่า “เกินจุดดุลยภาพ”เช่นเดียวกัน เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้เปิดโอกาสให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดวิธีพิจารณากันเอง
ซึ่งเท่ากับเปิดโอกาสให้ศาลรัฐธรรมนูญตั้งกฎเองและใช้กฎนั้นเอง ถือว่าเป็นการทำลายหลักการคานอำนาจอย่างสิ้นเชิง
ในประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นประเทศเยอรมนี ออสเตรีย สเปน อิตาลี โปรตุเกส เบลเยียม ต่างให้รัฐสภาเป็นผู้ออกกฎหมายกำหนดกฎเกณฑ์การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นกรอบในการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น
ไม่มีแม้แต่ประเทศเดียวที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ “ชงเองตบเอง” เหมือนเช่นในประเทศไทย
เพราะในความเป็นจริงกฎเกณฑ์ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อองค์กรของรัฐ ควรจะต้องได้รับการตราขึ้นโดยองค์กรที่มีความชอบธรรมสูงสุดตามระบอบ ประชาธิปไตย อันได้แก่ รัฐสภา
หากโครงสร้างของฝ่ายตุลาการและศาลรัฐธรรมนูญของไทยภายใต้ระบอบที่อ้างว่าเป็น “ประชาธิปไตย” ยังคงเป็นเช่นนี้...
ประกอบกับข่าวฉาวของศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏให้เห็นไม่ผลแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นคลิปฉาวศาลรัฐธรรมนูญ การตัดสินที่มีข้อกังขาว่ามีการตั้งธงเอาไว้ ตลอดจนข้อกล่าวหาที่ว่ามีผู้แทรกแซงการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เห็นทีศาลรัฐธรรมนูญคงไม่สามารถก้าวข้าววิกฤติความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ไป ได้อย่างเร็ววัน
หวังว่าประธานศาลรัฐธรรมนูญคงจะมีมาตรการออกมาจัดการกับ “ผู้มีอำนาจกังฉิน” ทั้งหลายอย่างเด็ดขาด...เพื่อให้หลาบจำและไม่กล้าทำผิดอีกน่ะครับท่าน!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น