วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ระวัง...! จะตกหลุมดำ


http://pchannel.org/index.php?name=saad&file=readknowledge&id=23
 

โดย...หลานย่าโม


         ท่านผู้อ่านครับ  หลานย่าโมเขียนเรื่องนี้ให้พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ได้อ่านก่อนจะสายเกินแก้   แต่การเขียนเรื่องนี้  ไม่ได้ร่ายยาวเกี่ยวกับตัวของพลเอกประยุทธตลอดทั้งเรื่อง  แต่ได้เขียนถึง “อดีต” นายทหารใหญ่ท่านหนึ่งยกเอามาเป็นตัวอย่าง ในการเดิมเกมบนถนนการเมืองของประเทศ
 ระวัง...ถ้าเดินไม่เป็นจะตกหลุมดำ


        เริ่มต้นขอกล่าวว่าบรรยากาศการเมืองของประเทศไทยได้กระทำให้สถานการณ์ของบ้านเมือง มัวซัว  มืดขมุกขมัวและ น่าฉงน  ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปีนี้ และปีต่อๆไป  รู้แต่ว่าประเทศไทยยังจะต้องเผชิญชะตากรรมยาวนานหลายปีติดต่อกัน ดีไม่ดีอาจจะมีการ “ลอบฆ่า” อุ้มหาย และลอบสังหาร  หรืออาจร้ายแรงถึง “นองเลือด” อีกครั้งก็ได้ 


        ทั้งนี้เนื่องจากได้มีสัญญาณเด่นชัดว่า“เจ้าของอำนาจ”  ไม่สามารถละทิ้งทิฐิที่เป็นปัญหาลงได้  จึงยังคงเล่นเอาเถิดกับการตั้งข้อกล่าวหา “คนเสื้อแดง” ว่าเป็นสมุนบริวาร พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร


แล้วกล่าวหาเลยไปว่าคนพวกนี้เป็นคอมมิวนิสต์


         เมื่อกล่าวหาไม่หยุด  จึงทำให้ประเทศนี้กลายเป็นประเทศน่าฉงน
         ด้วยเหตุนี้บ้านเมืองจึงขุ่นมัว น่าฉงน ไม่รู้จะหมดไปเมื่อใด   หลานย่าโมจึงอยากนำเสนอเรื่องราวของพ่อใหญ่จิ๋ว “พลเอก ชวลิต  ยงใจยุทธ”  เพื่อการหยิบเอามาเป็น “ตัวอย่าง” ที่สามารถสัมผัสจับต้องได้ และ เพื่อจะอธิบายถึงปัญหาที่เกาะกุมชะตากรรมประเทศไทย โดยการ  “หยิบยก”  เอาบทบาทของท่านนายพลนักการเมืองใหญ่ท่านนี้มาวางต่อหน้าท่านแล้วคลี่ให้เห็นการปฏิบัติ “ต่อแผ่นดิน” ด้วยความหนักแน่นและอดทน  รวมทั้งได้ฝังรกรากทางความคิด “ประชาธิปไตย” ที่โดดเด่นชัดเจน เป็นที่ประจักษ์แก่สายตา จนได้กลายเป็น “ต้นแบบประชาธิปไตย”   ดังที่   “หลานย่าโม”  จะได้เขียนให้ท่านได้ร่วมพิเคราะห์  พินิจพิจารณาต่อไป


         หวังว่าคงจะจำได้ว่าเมื่อครั้งพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ์ (พ่อใหญ่จิ๋ว) เป็นนายทหารใหญ่ มีตำแหน่งเป็น ผบ. ทบ. และรักษาการ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยุคโน้น  ท่านนายพลท่านนี้ ได้แสดง “จุดยืน”ทางประชาธิปไตยอย่างแน่วแน่ชัดเจน


        ท่านเป็นทหารใหญ่คนแรกที่กล้าเรียกตัวเองว่า  “ทหารประชาธิปไตย”โดยได้ประกาศออกมาในขณะตัวเองอยู่ในศูนย์กลางอำนาจของสถาบันของทหารเต็มพิกัด  ซึ่งได้ถูก “ตีความ”จากพวกปฏิกิริยา (พวกอำมาตย์ใหญ่)ว่าเป็นพวกเอียงซ้ายและได้กล่าวหาเลยไปถึงขั้นที่ว่า  พลเอกชวลิต  ฝักใฝ่ระบอบประธานาธิบดี โดยยกเอาคำพูด (สุนทรพจน์)ของท่านที่ได้กล่าวถึง “เพรสซิเด็นเชียล”เอามาเป็นปัจจัยในการแปลเจตจำนงให้ผิดไปจากความต้องการที่แท้จริงของท่านพลใหญ่ท่านนี้


        สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงได้แก่ความเป็นประชาธิปไตย


        เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจ จึงกลายเป็นการเข้าใจผิด จนถึงขั้น พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ์ ตกเป็นเหยื่อของการถูกโจมตี  ถูกใส่ร้ายป้ายสี   


แต่โชคดีไม่มีใครทำร้ายท่านได้  ไม่มีใครเล่นงานท่านได้   ท่านจึงปลอดภัย  จนได้เป็นนายกรัฐมนตรีในกาลต่อมา  แต่ก็ไม่พ้นข้อหา ถูกนินทาเสมือนหนึ่งเป็นจำเลยของอำมาตย์อยู่ดี ฝ่ายอำมาตย์นั้น  ทั้งๆที่อ้างว่าจะทำงานให้ประเทศ แต่มือไม่ถึง ทำไม่เป็น  ได้กลายเป็นตัวปัญหาขัดขวางความเจริญของประเทศ   เป็นผู้ทำให้ประชาชนเกิดความแตกแยกและขัดแย้งกันอย่างรุนแรง รวมทั้งกลายเป็นผู้แบ่งประชาชนออกเป็น ๒ ฝ่ายโดยอ้างเอาความ “จงรักภักดี” ขึ้นมาเป็นเครื่องมือ  ดังที่กำลังกระทำอยู่ในขณะนี้ จนกลายเป็นการขัดขวางประชาชนไม่ให้ได้รับ ประชาธิปไตย รวมทั้งพวกอำมาตย์นั้นไม่เข้าใจความลุ่มลึกว่าจะ “สร้าง” ประชาธิปไตยให้งอกงามในแผ่นดินสยามได้อย่างไร โดยยังมีพระมหากษัตริย์ทางเป็นองค์ประมุขอย่างมั่นคง


        อำมาตย์ไม่รู้เรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์  ไม่รู้จักธาตุยุติธรรมที่ประชาชนต้องการ  อำมาตย์กับทหารกลายเป็นเส้นขนาน สวนทางกับแนวคิดของประชาชน ทหารและอำมาตย์เห็นประชาชนเป็นเพียงผู้ตามซึ่งจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข อีกอย่างหนึ่ง ทหารและอำมาตย์สรุปเอาว่าบ้านเมืองมีประชาธิปไตยแล้ว  ผู้คนเจ้าของร้านค้า ชาวบ้านในเมืองหลวงและต่างจังหวัด จะทำอะไรก็ได้ทำ  อันเป็นสิ่งที่ดี
เห็นอยู่เต็มตา  แล้วต่อว่าคนเสื้อแดงวุ่นวานอะไรนักหนา ?


        การกล่าวเช่นนี้มันไม่ตรงตามความเป็นจริง  เนื่องจาก “คนที่ได้อะไรทุกอย่าง” ได้แก่คนที่รวย  คนมีเงิน  คนมีอำนาจ (เท่านั้น)  ส่วนคนที่ยากจน จะไม่ได้สิ่งอันพึงมีพึงได้เลย  เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงหมายความว่า  “คนรวยได้ประชาธิปไตยล้นเหลือ” ส่วนคนจนจะขาดแคลนประชาธิปไตย รวมทั้งไม่ได้ประชาธิปไตยกับเขาด้วยเลย


         อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เคยให้ความรู้แก่พวกเราเมื่อปี ๒๕๑๗ ว่ามนุษย์มีประชาธิปไตยกันทุกคน มากน้อยไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับฐานะและความมั่งคั่งที่แตกต่างกัน  แล้วท่านก็เล่า(สอน)ต่อไปว่า  ปัญหาประชาธิปไตยของประเทศไทย เกิดจากคนรวยในประเทศไทยเป็นคนชั่ว เอาแต่ตักตวง  ไม่เห็นใจคนยากคนจน  โกง และฉ้อฉลทุกสิ่งทุกอย่าง  กอบโกยผลประโยชน์หน้าด้านๆ ประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เหตุที่เป็นเช่นนี้ เกิดจากคนรวยมีประชาธิปไตยล้นเหลือ  โดยได้รับการเกื้อหนุนจากผู้มีอำนาจ  จากมือที่มองไม่เห็น (ว่าเป็นมือของใคร)  รู้แต่ว่าระบอบมือมืดมันเอื้ออำนวยให้อำมาตย์ไม่เข้าใจในเรื่องเหล่านี้  เรื่องเลยไปคนละทิศละทาง


         ขอวกกลับเข้าหา “ทหารประชาธิปไตย” เพื่อจะอธิบายต่อไปว่าความหมายของ “ทหารประชาธิปไตย” นั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้โดยไม่ยาก  นั้นก็คือ ทหารจะต้องยอมรับว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศร่วมกับคนไทยทุกหมู่เหล่า ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง   จึงเรียกว่าประชาธิปไตยไม่ว่ากรณีใดๆ ทหาร “อย่าหลงเข้าใจผิด” จนคิดจะได้อำนาจก็อ้างเอาความมั่นคงขึ้นมาจัดการ อย่าเข้าใจผิดว่ารักชาติมากกว่าใคร  ทหารต้อยเลิกเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย  ไม่ลากรถถังออกมายึดอำนาจ ล้มล้างอำนาจของประชาชน  ดังกรณี พลเอกสนธิ  บุณยรัตกลิน กระทำเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ คราวโน้น


         หลานย่าโมอยากให้ทหารเอาตัวอย่างจากพล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ์ ท่องจำให้ขึ้น...พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ์ ทำเอาไว้ดีมาก อย่าจำเยี่ยงอย่างจากกระทำของ พล.อ. สนธิ บุณยรัตนกลิน


         เราอยากให้จดจำเรื่องราวของ พล.อ. ชวลิต ยงใยยุทธ์ให้ดี  จะพบว่าเมื่อท่านอยากเป็นนักการเมือง  ท่านก็ได้ใช้แนวทางประชาธิปไตยด้วยการ “เอาตัว” ไปให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน  ด้วยการลงสมัครแข่งกับนักการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย


          นายพลใหญ่ท่านนี้ได้ประกาศอย่างเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญว่า “ท่านจะไม่ยอมใช้กำลังทหารปฏิวัติรัฐประหารเป็นอันขาด”  ท่านสามารถยืนหยัดต่อสู้  จนได้เข้าสู่ถนนการเมือง ดังที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว


         ท่านเอย...อ่านแล้วโปรดจำเอาไว้   โดยเฉพาะได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชาผบ. ทบ. คนปัจจุบัน  ขอให้ตระหนักเอาไว้ว่า  สถานการณ์ของบ้านเมืองในยามนี้  มันไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน  ทั้งนี้เนื่องจากได้มีการ “จุดไฟในนาคร” อย่างเอาเป็นเอาตาย จากคนที่หลงอำนาจของตัวเอง จนกลายเป็นว่าในประเทศไทยเต็มไปด้วยหลุมดำ มันไม่ใช่หลุมดำธรรมดาดอกนะจะบอกให้    แต่มันจะเป็นได้ทั้งหลุมดำที่เต็มไปด้วยถ่านภูเขาไฟ  หรือไม่ก็อาจจะเป็นหลุมดำของ “นรกอเวจี”  ที่จะเผาผลาญคนไทยให้เกิดการเข่นฆ่า  ล้างเผ่าพันธุ์พวกเดียวกัน


          เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า  พวกอำมาตย์พากันตัดสินใจ เล่นงาน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร  โดยที่เขาไม่ผิด  แต่ได้กระทำกับเขาประหนึ่งว่าเขามีความผิด   ซึ่งจะว่าไปตามความเป็นจริงว่าถ้า “เล่นแล้วรู้จักเลิก”  เรื่องมันจะไม่บานปลายดอกครับพวกเสื้อเหลืองเล่นไม่เลิกอย่างยาวนาน  ไล่กัดและไล่เล่นงาน ไม่ยอมหยุดการกระทำ 


        ดังจะเห็นได้จากการไม่หยุดอยู่เพียงแค่นายสมัคร สุนทรเวช  ไม่หยุดไปถึงนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์  และไม่หยุดมาจนถึงปัจจุบัน  เรื่องมันเลยบานกระเจิงยิ่งกว่าน้ำบาน ถ้ารู้จักหยุดอยู่ที่การยุบพรรคไทยรักไทย เรื่องมันก็จะจบอยู่ตรงนั้น ตั้งนานแล้ว แต่เป็นเพราะไม่หยุด...มันเลยลากยาวถึงขั้นนองเลือด ๑๐ เมษายน และทะลุเข้าสู่การสังหารโหด  ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓  ผลก็คือ “ตายเป็นเบือ  บาดเจ็บนับพัน” ! ถึงขั้นนี้...จะให้คนเสื้อแดงยอมแพ้ เขายอมแพ้ไม่ได้


        พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  คงจะได้ยิน “จตุพร  พรหมพันธุ์”  กับ “ณัฐวุฒิ  ใสเกื้อ”  ส่งเสียงเรียกหาคนรับผิดชอบ และตะโกนกึกก้องดังสะท้านแผ่นดินไทย  แต่ไม่ปรากฏว่าจะมีใครยอมรับฟัง  เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔ ! พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แทนที่จะยอมรับฟัง กลับเต็มไปด้วยการ ตอบโต้จะเอาเรื่องให้ได้ ถึงขนาดจะเป็นโจทย์แจ้งจับเสียเอง พร้อมกับนายธาริต  เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมดีเอสไอ  กำลังจะยื่นขอถอนประกันแกนนำ นปช. พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา มีสิทธิ์ทำ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ สามารถขอถอนประกันได้  



แต่...โปรดเข้าใจ และอย่าลืมว่าข้างหน้าเต็มไปด้วย “หลุมดำ”  ที่เปิดอ้าซ่ารอวินาทีนรกที่จะฉุดลากร่างที่เต็มไปด้วยสายสะพายอันตระการตา เลอยศ   ซึ่งประดับไปด้วยมงกุฎครอบดาว  ฉุดให้ร่างล่วงหล่นลงไปกองอยู่ที่ก้นหลุมดำ แล้วเตาเผาในหลุมดำก็จะเผาประเทศนี้ทั้งประเทศ มิใช่เผาแต่ร่างของพลเอกประยุทธ์ เพียงคนเดียว  ?!


     “หลานย่าโม”
http://redusala.blogspot.com

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ14 สิงหาคม 2554 เวลา 08:10

    พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงไปแก้ปัญหาภาคใต้ดีกว่านะ ทหารอาชีพเขาไม่ยุ่งการเมือง นี่อะไรปัญหาประชานถูกทำร้ายเสียชีวิตมากมาย ไม่ลงไปแก้ไขอะไรเลย

    ตอบลบ