วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

มะเร็งร้ายในระบอบประชาธิปไตย
   โดย...ฉลาด ยามา  ทนาย
http://www.pchannel.org/?name=shalad&file=readknowledge&id=37


หมายหตุ
ฉลาด  ยามา เป็นทนายความภูธร  เป็นคน “ลพบุรี”
มีชื่อเสียงโด่งดังทางจังหวัดภาคเหนือและอีสาน
ขณะนี้กำลังวิ่ง “ประกันแกนนำเสื้อแดง” ตามจังหวัดต่างๆ
กำลังต่อสู้กับความพิสดาร  ขอประกันอย่างไรก็ยังไม่ยอมให้ประกัน
ประสบการณ์เรื่องอย่างนี้  จะถูกถ่ายทอดมาให้อ่าน...ในเร็วๆนี้
                                          “หน. กอง บรรณาธิการบริหาร”



        โปรดอ่านเรื่องประชาธิปไตย....งานเขียนเชิงวิชาการ ดังนี้

         ระบอบการปกครองของโลกนี้มีจำนวนมาก อาทิเช่น การปกครองระบอบประชาธิปไตย , การปกครองแบบเผด็จการ , การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ , การปกครองแบบคอมมิวนิสต์หรือการปกครองแบบสังคมนิยม , การปกครองแบบประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการ และฯลฯ


         จากการที่มีระบอบการปกครองจำนวนมากดังกล่าวแล้ว ประเทศไทยได้ตกลงเลือกเอาระบอบประชาธิปไตยเป็นหลักในการปกครองประเทศโดยได้บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 2 ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมาตรา 3 ในรัฐธรรมนูญเช่นเดียวรับรองไว้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจทางนิติบัญญัติ ทางบริหาร และทางตุลาการ (โดยมีผู้สนองพระบรมราชโองการ)


         การที่ประเทศไทยยอมรับเอาระบอบประชาธิปไตย ก็เพราะเป็นระบอบที่ดีที่สุด กล่าวคือ อำนาจในการปกครองเป็นของประชาชน และการที่จะตัดสินใจในการดำเนินงานบริหารประเทศจะให้เป็นไปในทิศทางไหนก็ขึ้นอยู่กับเสียงข้างมากคือ ใช้เสียงข้างมากเป็นข้อยุติ เป็นที่ชี้ขาดเรื่องอะไรก็ตามที่จะกำหนดแนวทางให้ประเทศเดินทางไปทางไหนหรือเกิดปัญหาอะไรก็ให้ใช้เสียงข้างมากของประชาชนเป็นที่ตัดสินหรือเป็นข้อยุติในปัญหานั้น และนำไปปฏิบัตินั่นเอง


         ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยแท้ การใช้ระบอบประชาธิปไตยนอกเหนือจากที่กล่าวแล้วถือว่ามิได้เป็นประชาธิปไตยโดยแท้ แต่เป็นประชาธิปไตยที่มีเชื้อโรคเข้ามาแทรกแซง จะเรียกว่าประชาธิปไตยมิได้เลยทีเดียว จะเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปตาย แล้วใครตาย ก็ประชาชนนั่นไง ?


         ในปัจจุบันเราได้ใช้ประชาธิปไตยนานถึงเกือบ 79 ปีเต็ม ตลอดเวลาที่ผ่านมาประชาธิปไตยของประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยแบบอมเชื้อโรคไว้มาโดยตลอด กล่าวคือ นำสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเข้ามาผสม ซึ่งมิได้มีใครแก้ไขเยียวยาประชาธิปไตยให้หายจากโรคที่รุมเร้านี้ได้เลย


         การดำรงอยู่ของโรคต่างๆที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยของเรายังดำรงอยู่และนับวันจะรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ โรคร้ายต่างๆที่จะเห็นได้ชัดแจ้งแบบที่จะไม่ต้องอธิบายในรายละเอียดอะไรเลยก็คือ ในระบอบประชาธิปไตยมี 3 อำนาจคือ นิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ


         ในส่วนของนิติบัญญัติและบริหาร ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจเลือกตั้งเข้าไปใช้อำนาจดังกล่าว แต่อำนาจตุลาการประชาชนไม่มีสิทธิเลือกตุลาการเลย นี่คือเชื้อโรคตัวแรกที่แทรกเข้ามาตั้งแต่เริ่มต้นทีเดียว พร้อมกับเชื้อโรคอื่นๆตามมาอีก เช่น  การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาให้ประชาชนเลือกได้จังหวัดละ 1 คนรวม 76 ส่วน 74 คน ให้มาจากการสรรหาของคนเพียง 7 คน ใช้อำนาจแทนประชาชนถึง 64-65 ล้านคน คณะกรรมการเลือกตั้งก็มาจากการสรรหา , คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ, คณะกรรมการต่างๆอีกมากมายมาจากการสรรหา รวมทั้งมาทำการตัดสินล้มล้างอำนาจของประชาชนโดยใช้คนเพียงไม่กี่คน จึงขอกล่าวหาได้ว่านี่คือเชื้อโรคของระบอบประชาธิปไตยหรือใครจะเถียงว่าไม่จริงก็ให้ เถียงมาโดยเฉพาะ...พวกนักวิชาการผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้รู้ทั้งหลาย


         จากขบวนการของเชื้อโรคเหล่านี้ได้พัฒนาจนกลายเป็นเชื้อโรคที่ร้ายแรงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เรียกได้ว่าเป็นโรคมะเร็งได้อย่างถูกต้องที่สุด การที่โรคร้ายของระบอบประชาธิปไตยได้พัฒนาเป็นมะเร็งร้ายเสียแล้ว ก็จะเป็นการยากที่เราจะรักษาระบอบประชาธิปไตยที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ให้หายจากโรคร้ายนี้ได้


         แม้ประชาธิปไตยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นโรคร้ายแรงคือมะเร็งที่นับวันตายที่รออยู่ข้างหน้านี้แล้วก็ตาม แต่เราก็ยังมีเวลาที่จะแก้ไขเยียวยาโรคนี้ให้หายได้ ประชาธิปไตยจึงจะเข็งแรงทำหน้าที่ได้ดังเช่น ประเทศที่ประชาธิปไตยที่มีความแข็งแรงทำหน้าที่ได้อย่างศักดิ์สิทธิ์ ตามอำนาจของประชาชนแท้ๆ ปัญหามีอยู่ว่าเราจะหายาอะไรมาแก้ไขโรคร้ายแรงคือมะเร็งในระบอบประชาธิปไตยของเราได้


         คำตอบหรือยาที่จะรักษาโรคร้ายมะเร็งนี้ได้ ประชาชนจะต้องมีสำนึกและอุดมการณ์ร่วมกันปกป้องสิทธิและอำนาจอธิปไตยของเราด้วยชีวิต เมื่อพบหรือเห็นอะไรที่มิใช่ประชาธิปไตย พวกเราต้องพร้อมใจกันลุกขึ้นทำลายสิ่งนั้นให้สูญสิ้นไปโดยเร็ว และที่สำคัญเราจะต้องมีอุดมการณ์ร่วมกันป้องกันระบอบประชาธิปไตยได้อย่างเต็มที่ โดยอย่านำเอาความเชื่อ ความศรัทธาที่พิสูจน์หาความจริงไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์มาหยุดยั้งอุดมการณ์ของเราที่จะปกป้องอำนาจอธิปไตย เพราะความเชื่อ ความศรัทธาดังกล่าวไม่สามารถนำพาให้ชีวิตเราพัฒนาให้ก้าวหน้าได้ ดังนั้นอย่าหลงหรือยึดมั่นในสิ่งที่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ เราต้องคิดถึงอนาคตของตัวเองของลูกและหลาน โดยเฉพาะประเทศของเราเป็นหลัก ใครผู้ใด จะมามีอำนาจแทรกแซงให้ประชาธิปไตยต้องเป็นอย่างอื่นเราก็จะยอมไม่ได้โดยเด็ดขาดพร้อมที่จะขจัดใครพวกนั้น ออกไปจากแผ่นดินนี้ที่ชื่อว่า “ประเทศไทย”ให้จงได้


         ตื่นเถิดพี่น้องชาวไทยวันนี้แสงสว่างสาดกระจายไปอย่างทั่วถึงแล้ว เราเห็นแล้วว่าโรคคือมะเร็งร้ายกำลังทำลายชีวิตระบอบประชาธิปไตย คือชีวิตตัวเอง ลูกหลานเหลนของพวกเราโดยคนบางคนหรือคณะบุคคลมาทำลายสิ่งที่เป็นอำนาจอธิปไตยของพวกเราที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้ตัวเราเองถึงลูกถึงหลานและเหลนตลอดไป


         เพราะระบอบประชาธิปไตยโดยแท้ต้องมีดังนี้ คือ


         1. ประชาชนมีความเท่าเทียมและเสมอภาคกัน
         2. ผู้ใช้อำนาจปกครอง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่
         3. ต้องเป็นการใช้อำนาจปกครอง เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และผลประโยชน์ของประชาชน
         4. การใช้อำนาจ ต้องสามารถตรวจสอบควบคุมให้อยู่ในความพอดีได้


         แล้วพวกท่าน(คือผู้ปกครอง)ทำกันตามระบอบประชาธิปไตยนี้หรือไม่ ถ้าตอบว่าทำแล้ว ประชาชนก็มีคำถามต่อไปว่า ถ้าท่านบริหารประเทศตามระบอบประชาธิปไตย ทำไมจึงมีคนตาย สูญหายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม 2553  ตอบซิครับ ตอบประชาชนให้หายข้องใจด้วย ถ้าไม่ตอบประชาชนให้หายข้องใจก็จะถือว่า...ท่านพร้อมที่จะยอมรับความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยแล้วและนั่นคือความหายนะของประเทศชาตินั่นเอง!!!

                                                                               “ฉลาด  ยามา”   ทนาย
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น