วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ตอนที่ ๑ : ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กับ พวก 
ตัวการ “ล้มล้าง” องค์รัชทายาท ร. ๙


เจ็บใจที่สุดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนล้มเจ้า ...?
เจ็บใจที่สุดที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นภัยสถาบัน.... ?
         ถ้าเป็นจริงตามนั้น หมายความว่า ณ วันนี้มีคนไทยมากกว่า  ๒๘ ล้านคน เป็นฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้าแผ่นดิน  ตัวเลข ๒๘ ล้านคน ประเมินมาจาก “คนเสื้อแดง” ที่โตวัน โตคืน...อันอาจจะกลายเป็น ๓๘ ล้านคน หรือ ๔๘ ล้านคน ในเวลาอันไม่นาน ถ้าเป็นเช่นนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์จะตั้งอยู่ได้อย่างไร
         มีคำถามว่าจริงหรือที่ว่า “คนเสื้อแดง” กำลังจะล้มเจ้า ? แล้วถามว่า ในประเทศนี้มีแต่ “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” สุเทพ เทือกสุบรรณ อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา กับ “เนวิน ชิดชอบ” เท่านั้นหรือที่มีเต็มเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี    คนอื่นไม่รักพระเจ้าแผ่นดินกระนั้นหรือ

         วันนี้...เรามาถกกันในปัญหานี้อย่างเปิดเผย  และชัดเจน  โดยหยิบเอาชื่อคนในสังคมที่ท่านรู้จักขึ้นมาเป็น “รางรถไฟ” ให้หัวรถจักรได้วิ่งไปบนตัวอักษรเพื่อการอธิบายที่ยิ่งใหญ่  เอาให้เห็นกันจะจะว่า  พวกคุณต่างหาก คือตัวการล้มเจ้าตัวจริง

         จึงขอหยิบเอาคนชื่อ “รศ. ดร. เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง” ขึ้นมาเป็นรางรถไฟ ที่ผมกล่าวหาว่าเป็นผู้ล้มล้าง องค์รัชทายาท เมื่อผมกล่าวหาเช่นนี้  คงจะทำให้ประเทศนี้สั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน เพราะมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องมากมาย  โดยเฉพาะได้แก่ “มหาอำมาตย์” ทั้งหลาย

         ขอย้อนกลับไปที่ปี ๒๕๔๙  เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙  ที่พลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน  ผบ.ทบ. ในสมัยนั้นทำการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  ล้มล้าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร  นายกรัฐมนตรีคนที่  ๒๓ นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้คิด

         ผมตื่นเต้นที่มีทหารเข้ามา “ขัดขวาง” การพัฒนาประเทศอีกแล้ว  และยังได้ล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (๒๕๔๐) โดยอาศัยอำนาจของหัวหน้าปฏิวัติที่อ้างตัวว่าเป็น “เจ้าของอำนาจรัฐถาธิปัตย์”   (เป็นใหญ่กว่าพระเจ้าแผ่นดิน)  ทำการฉีก

รัฐธรรมนูญทิ้งโดยไม่มีความผิด

         ผมติดตามความเคลื่อนไหวตั้งแต่บัดนั้น  โดยได้ทำเสนอแนวคิดว่ารัฐธรรมนูญแบบไหนที่ประชาชนต้องการ  แล้วได้นำเอาไปมอบให้  น.ต. ประสงค์  สุ่นสิริ ที่ได้ยึดชายหาดบางแสน เป็นที่ประชุม  ผมไปกัน  ๒ คน คือผมกับมหากมล ศรีนอก  โดยหวังว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่  คงจะมีหมวดว่าด้วยการ “เวนคืนที่ดินจากคนรวย ที่หลวง และที่ราชพัสดุ” เอามาจัดสรรให้คนจน

        ผมขอเรียนว่า น.ต. ประสงค์  สุ่นสิริ  ต้อนรับดีมาก

        ดี...จนเชื่อว่า เขาจะหยิบยกเอาไปใช้ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ทว่า ...เหลวงทั้งเพ

        เมื่อรัฐธรรมนูญสำเร็จออกมา  ก็ได้เห็นต้นร่างที่ “คณะกรรมการยกร่าง” เพื่อจะได้นำเสนอแก่ สสร. และ สนช.  อันจะได้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่  ที่จะถูกเอามาแทนรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี ๒๕๔๐

        ผมอ่านรัฐธรรมนูญใหม่ครบทุกมาตรา 
เมื่ออ่านจบ  ก็ตระหนักแก่ใจว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญในปลายสมัยรัชกาลที่ ๙  ที่มีเจตจำนงแน่วแน่ที่จะ “ขัดขวาง” องค์รัชทายาทมิให้ได้ขึ้นครองราชย์โดยง่าย  อันหมายถึงรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับ “ปลายรัชกาล”! เมื่อผมเข้าใจเช่นนั้น  จึงได้ไปกราบท่าน “พระครูปลัดไพศาล”  ที่วัดแก้วฟ้าบางกรวย จังหวัดนนทบุรี  เพื่อการถวายความเห็น  ว่าจะพิมพ์หนังสือ “รัฐธรรมนูญ” ฉบับ  ล้มพุทธ ล้มเจ้า  หวังจะแจกจ่ายแก่มหาชนให้ได้อ่าน

        ในที่ก็ลงทุนพิมพ์ไป ๕๐,๐๐๐ เล่ม เป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แจกจ่ายโดยทุนของตนเอง  มิได้ซื้อขายแต่อย่างใด

 ท่านเอ๋ย...ไม่มีใครสนใจ
 อ่านก็อ่านไปอย่างนั้น
 ไม่เข้มข้น และไม่มีใครเชื่อ

        ในที่สุด...วันเวลาผ่านไป   และผ่านไป  จนในที่สุดก็ได้มีการกล่าวหา “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร”  และกล่าวหา “คนเสื้อแดง”  ว่าเป็นภัยต่อสถาบัน  เป็นพวกล้มเจ้ารวมทั้งกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” ดังที่สังคมไทยทั้งในและนอกประเทศ ล้วนแต่เคยได้ยิน  อันมิใช่เรื่องที่พูดกันสนุกปากเล่น  เขาพูดใส่ร้ายอย่างจงใจ !

        เมื่อมันมาถึงขั้นนี้  ผมจึงตัดสินใจเขียนกระชากหน้ากากคนที่เลว   ตามความเชื่อของผมเท่าที่มีอยู่  แต่ก็นั้นแหละ  ผมจำเป็นต้องหยิบยกเอาตัวบุคคลที่น่าเชื่อถือ ... เอามาเอ่ยอ้างเป็นพยาน...แม้ท่านจะละโลกนี้ไปแล้วก็ตาม ท่านผู้นั้นได้แก่ ศาสตราจารย์ ธรรมนูญ  ลัดพลี

       “ท่านผู้นี้”  เล่าให้ผมฟังว่า  “มีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง  ไม่ยอมให้ฟ้าชายเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป  แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร  คนพวกนั้นกำลังคิดหาหนทางขัดขวางอยู่” ?!

        เรื่องราวสั้น-สั้นเรื่องนี้  ทำให้ผมมีอาการแทบว่าจะเนื้อดิ้น

        แต่เนื่องด้วยตัวเองเป็นเพียงนักเขียนน้อยๆคนหนึ่ง  จะทำอะไรได้  จึงได้แต่จดจำเรื่องราวอันไม่น่าเชื่อเรื่องนี้ เอาไว้ในใจ...โดยได้ปล่อยให้กาลเวลาผ่านไปและผ่านไปโดยไม่เชื่อว่าจะมีใครขัดขวางได้  จึงมีความเชื่อเป็นทุนตั้งอยู่ในใจว่าในหลวงของคนไทยองค์ต่อไป  ได้แก่สมเด็จ “พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร” เมื่อเชื่อเช่นนี้ จึงได้ตั้งรูปไว้บูชาในห้องพระ๒ รูป  คือรูปในหลวง และรูปฟ้าชาย นั้นคือเรื่องเก่าๆที่ผมจำเป็นต้องนำเอามาทบทวน

         แล้วก็มาถึงเรื่องใหม่...เริ่มจากหนังสือ “รัฐธรรมนูญฉบับล้มพุทธ-ล้มเจ้า” ที่ได้พิมพ์แจกไปตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๐ ผ่านมาแล้ว ๔ ปี  โดยที่หนังสือเล่มนี้ มิได้ก่อกระแสให้สังคมได้รับรู้  ตรงกันข้าม  คนที่ทำความชั่วมิได้รับเคราะห์กรรม คนดี และทำแต่ความดี กลับถูกกล่าวหาอย่างร้ายเหลือ

         ผมจึงกลับไปที่หนังสือเล่มเก่าอีกครั้ง  ก็ได้พบว่า  “ข้อผิดพลาดในการนำเสนออยู่ที่การใช้คำว่ารัฐธรรมนูญฉบับล้มพุทธ-ล้มเจ้า”  ซึ่งมันกว้างเกินไป  ถ้าเอาตัวละครมาแฉ หรือเปิดโปงอย่างกล้าหาญ  ก็จะได้ “กระแส” ที่ดีขึ้น  จะมีคนสนใจมากขึ้น เปล่าครับ...ผมไม่สนใจต่อกระแสอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่สนใจมากกว่านั้นได้แก่การ “เปิดโปง”  คนที่ทำความผิดให้คนไทยได้รับรู้จะเป็นการ “ช่วยประเทศ” ให้หลุดพ้นจากสงครามแย่งชิงอำนาจ ได้ในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้นำเสนอ “มหากาพย์การเมือง”  ชุด “เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง”

         ตอนที่กำลังอ่านอยู่นี้เป็นตอนที่ ๑  ขอรับ

         ผมขอฟันธงให้สั้นเข้า และรวดเร็วเหมือนจักรผันว่า    “รศ. ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” กับ  น. ต. ประสงค์  สุ่นศิริ  กับพวกอีกหลายคน  เป็นกระขวนการ “ขัดขวาง”  ฟ้าชายมิให้ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ “ในรัชกาลต่อไป”  โดยได้รับใบสั่งให้มาดำเนินการ “ขัดขวาง” ด้วยการใช้รัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือระดับแผ่นดิน

         ดังนั้น  จึงได้ตราเอาไว้ในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ ตั้งแต่มาตรา ๒๐ ขึ้นไปจนถึงมาตรา ๒๕ ที่มีถ้อยคำวกไปวนมา  อ่านแล้วจับใจความว่า “ราชบัลลังก์หากว่างลง” ให้แต่งตั้ง “ประธานองค์มนตรี”  ขึ้นเป็น “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”  แล้วอ่านต่อไปจะพบว่า  “ถ้าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ไม่มีเวลาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานองค์มนตรี ก็ให้ “คัดเลือก” องค์มนตรีคนใดคนหนึ่งขึ้นมาเป็นประธานองค์มนตรีแทนตำแหน่งที่ท่านไม่มีเวลาทำงานให้

        ผมอ่านรัฐธรรมนูญจำนวน  ๖ มารตราด้วยความพินิจพิเคราะห์  ก็มีคำถามว่าเหตุไรจะต้องให้ “ประธานองค์มนตรี” ไปเป็นผู้สำเร็จ  เหตุไรไม่แต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง  ขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จ  (นี้คือคำถามที่เกิดในใจข้อที่ ๑) ?! ต่อมาก็มีคำถามอีกว่าหากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงจากไปตามพระชนมายุที่เดินทางมาถึงตามธรรมชาติอันไม่มีใครหลบให้พนไปได้   ย่อมไม่จำเป็นที่จะต้อง “คัดเลือก” หาองค์พระมหากษัตริย์ ให้ลำบาก มิใช่หรือ ?

        เพราะว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช” ทรงเป็น “สยามมกุฎราชกุมาร”  ตามกฎมณเฑียรบาลอยู่แล้ว  ฟ้าชาย จักได้ขึ้นครองราชย์  ไม่ว่าสุขภาพอนามัยของพระองค์จะเป็นอย่างไร และจะได้ขึ้นครองราชย์ทันที  โดยมิต้องให้ใครมาแต่งตั้งทั้งนี้ก็เพราะสิทธิในการสืบสันตติวงศ์ อยู่ในพระหัตถ์ของฟ้าชายฟ้าชายทรงเป็นที่รู้จักของพสกนิกรมาด้วยเวลาอันยาวนานจะหาความลี้ลับเพียงไรก็หาไม่ ทว่า  “คนพวกนั้น”  ไม่รักพระองค์ท่าน  แต่ไม่กล้าทูลทัดทานด้วยวาจา  พวกเขาขี้ขลาดตาขาว  แล้วหาหนทาง “เอาไปปักไว้” ในรัฐธรรมนูญ ด้วยการตั้งประธานองค์มนตรีให้ขึ้นมาเป็น “ผู้สำเร็จ”  อันหมายความว่า “จะมีการเสาะแสวงหา” พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ด้วยมือของ “ผู้สำเร็จ”  ซึ่งไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้น

        ผมจึงกล่าวหา รศ.ค. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นต. ประสงค์  สุ่นสิริ  กับพวกอีกจำนวนหนึ่ง  ได้ทำหน้าที่ “ตามใบสั่ง”  เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมารับใช้อำมาตย์  เพียงเพี่อจะหาหนทาง “ขัดขวาง” สมเด็จฟ้าชายมิให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน

        ท่านครับ  ผมเขียนหนังสือเปิดโปงไปแล้ว ๔ ปีเต็ม  ไม่อาจให้ค่า แต่ในโลกอินเตอร์เน็ตวันนี้...ผมขอทำหน้าที่ใหม่ ขอนำเสนอ “เนื้อหา” อันน่าทึ่งให้แก่พสกนิกรทั้งหลายได้รับรู้เอาไว้  แล้วจะตอบโต้อย่างไรก็ค่อยว่ากัน  สำหรับประวัติของ “ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” คนนี้ ท่านลองอ่านดู ...ดูเสียให้จะจะอ่านแล้วแทบไม่อยากเชื่อว่า เขาได้รับใบสั่งให้ยกร่างรัฐธรรมนูญ  เอาบทบัญญัติอันยิ่งใหญ่นี้มาเป็นกำแพงขวางกั้นสมเด็จฟ้าชายได้ถึงเพียงนี้

นี้หรือคือความจงรักภักดี ?

ประวัติ รศ. ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

        รองศาสตราจารย์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หรือที่นิยมเรียกกันว่า ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 ที่จังหวัดอ่างทอง จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนอำนวยศิลป์, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (รุ่นเดียวกับนายบุญคลี ปลั่งศิริ)[1] เศรษฐศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมดีมาก) (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต (ธรรมศาสตร์) และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังได้รับเลือกให้เป็นศิษย์เก่าดีเด่นของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

         บทบาทอาจารย์และสื่อมวลชน รศ.ดร.เจิมศักดิ์ เคยเป็นอาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผู้ค้นคว้า วิจัย เชี่ยวชาญ ด้านการตลาดสินค้าเกษตร สินค้าโภคภัณฑ์ และการพัฒนาชนบท เป็นที่รู้จักในบทบาทผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ ประเภทการเมือง เศรษฐกิจ สังคมด้วย เช่น รายการเวทีชาวบ้าน, มองต่างมุม,เหรียญสองด้าน , ตามหาแก่นธรรม ทางช่อง 11, ฃอคิดด้วยฅนและลานบ้านลานเมือง ทางช่อง 9 ปัจจุบันมีรายการที่ออกอากาศ เช่น รู้ทันประเทศไทย ทาง ASTV ช่อง NEWS1 รายการ "ลงเอย..อย่างไร" ทุกวันพุธ เวลา 21.00 -22.00 น. และรายการ "คลายปม" ร่วมกับ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา และ วันชัย สอนศิริ ทุกวันอาทิตย์ เวลา 21.00 -22.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.) รายการ "มุมมองของเจิมศักดิ์" F.M.92.25 เวลา 08.00-09.30 น. ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ และรายการวิทยุ "พูดตรงใจกับ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง" ทุกวันอาทิตย์เวลา 10.00 - 12.00 น. ทาง F.M. 92.25 และเป็นคอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์แนวหน้าและในเว็บไซต์ผู้จัดการแบบไม่ประจำ อีกทั้งมีสำนักพิมพ์ของตนเองคือ สำนักพิมพ์ฃอฅิดด้วยฅน พิมพ์และจัดจำหน่ายหนังสือแนวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มีหนังสือของสำนักพิมพ์ฃอคิดด้วยฅน ที่ได้รับความนิยม เช่น รู้ทันทักษิณ 1-5,แปลงทักษิณเป็นทุน ,อยู่กับทักษิณ, การเมืองไทยหลังรัฐประหาร, รู้ทันภาษา รู้ทันการเมือง เป็นต้น

การเมือง
        รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2543 ถึง พ.ศ. 2549 โดยได้รับการเลือกตั้งจากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาครั้งแรกของไทย ในวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่ง รศ.ดร.เจิมศักดิ์ได้เบอร 144 และได้คะแนนไปทั้งหมด 196,897 ถือเป็นลำดับที่ 3 ของกรุงเทพมหานคร[2] และก่อนหน้านั้นก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2539 และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมการขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งในการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีประเด็นของการเรียกร้องให้มีการบรรจุพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่ง รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดความแตกแยกกับศาสนาอื่น จึงตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มผู้เรียกร้อง และเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น กรรมการและโฆษกประจำคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ด้วย

       ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ออกมาเปิดเผยถูกถอดรายการ "มุมมองของเจิมศักดิ์" ที่เคยจัดอยู่ในวิทยุคลื่น 105 F.M.MHz วิสดอมเรดิโอ ในช่วงเช้าวันธรรมดา โดยผู้บริหารบอกให้มีการเปลี่ยนแปลงผังรายการ ซึ่ง รศ.ดร.เจิมศักดิ์ บอกว่า เป็นคำขู่จากนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ชีวิตส่วนตัว
        ชีวิตส่วนตัวสมรสกับ ดร.จิตริยา ปิ่นทอง อดีตเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (นามสกุลเดิม ติงศภัทิย์ เป็นบุตรสาวของ ศ.จิตติ ติงศภัทิย์ อดีตองคมนตรีในรัชกาลปัจจุบัน) มีบุตรสาวหนึ่งคนคือ นางสาวจารีย์ ปิ่นทอง
        ในปัจจุบัน รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราภิชาน จากมหาวิทยาลัยรังสิตอีกด้วย

หมายเหตุ :
        คอยอ่าน “ตอน ๒”  รายชื่อ “กลุ่มเครือข่าย” ขัดขวางองค์รัชทายาท ? มหากาพย์เรื่องนึ้ จะมีความยาว ๑๒ ตอน

        แต่ละตอนเร้าใจ  สมกับที่เป็น “ลับ ลวง พราง”
        ที่จะเปิด “ห้องมืด” ให้ดูเป็นตอนๆ !

              “สอาด จันทร์ดี”
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น