วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ตอน ๒ : รายชื่อ “กลุ่มเครือข่าย” ขัดขวางองค์รัชทายาท
ยึดโยงกับ ดร. เจิมศักดิ ปิ่นทอง !

http://www.pchannel.org/index.php?name=mahagap&file=readknowledge&id=36


        เมื่อมหากาพย์การเมืองได้ปรากฏขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ต ตอนที่ ๑ ผ่านไป ผมเข้าใจเอาเองว่าคงจะมีคนสงสัยเป็นล้นพ้นว่า  คนอย่าง ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งเป็น  “อนุรักษ์นิยม”ที่แสนดี ทำตัวคล้ายกับว่ารักเจ้ายิ่งกว่าอะไร และงดงามทั้งแท่ง    จะกลายเป็นผู้ไม่จงรักภักดีได้อย่างไร   ท่านผู้อ่านคงจะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ 

        ผมไม่ได้ชักชวนให้เชื่อ  


        แต่อยากให้อ่านและตามดูข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับ  ๒๕๕๐ที่ผมได้กล่าวไว้ในตอนที่ ๑ ว่ามีบทบัญญัติ อ่านวกไปวนมา      ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่ามีวัตถุประสงค์ที่จะตั้ง “ประธานองค์มนตรี” ขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จแทนพระองค์ เพื่อจะให้ไปทำหน้าที่ “เฟ้นหา” องค์พระมหากษัตริย์ในกรณีราชบัลลังก์หากว่างลง


         ท่านผู้อ่านโปรดใช้พิจารณาญาณเอาเองว่า  ทำไมจึงมีคำว่า “ราชบัลลังก์หากว่างลง”  ด้วยเล่า  ในเมื่อประเทศของเราก็ได้ประกาศแต่งตั้ง “องค์รัชทายาท” เอาไว้ตั้งหลายพระองค์ โดยเฉพาะ “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช” ทรงเป็นองค์รัชทายาทองค์ที่ ๑ ที่จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งจะเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลทุกประการ ถ้าหาก “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช”  สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นอะไรไปเสียก่อนต่างหากเล่า  ตำแหน่งพระราชา จึงจะไหลไปยัง “องค์รัชทายาท องค์ที่ ๒” หรือ ๓ ตามที่ประกาศต่อพสกนิกรเอาไว้แล้ว แต่ขณะนี้สมเด็จพระบรมยังไม่ทรงหายไปไหน


 แล้วทำไมจึงจะต้องมีผู้สำเร็จขึ้นมาแสวงหาพระราชาองค์ใหม่ด้วยเล่า ตรงนี้เอง คือรอยปริที่แตกออกเป็นร่องลึก ทำให้มองเห็น “กระบวนการลับ ลวง พราง”  กำลังเล่นละคร ลิงหลอกเจ้า  เพื่อจะ “ขัดขวาง” สมเด็จฟ้าชายมิให้ได้เป็นพระมหากษัตริย์  โดยพากันเขียนบทบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ  อันเชื่อได้ว่า “เขียน” หรือยกร่าง  “ตามใบสั่ง” อย่างแน่นอน คนที่สั่งให้กระทำเรื่องดังกล่าวนี้มิใช่ธรรมดา ?!


        เพราะว่ากว่าจะ “สั่งการได้”  ต้องวางแผนหลายชั้น เริ่มแต่การ    “กระชากเอานายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นเหยื่อ”  เพื่อจะหาทางสร้างปัญหาให้เกิดความขัดแย้งอย่างร้อนแรง  ถึงขั้นยกระดับขึ้นสู่กระแสสูง  จนทหารต้องลากรถถังออกมา หลังจากนั้นก็ได้ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง  เพื่อจะได้สร้างรัฐธรรมนูญใหม่


         รัฐธรรมนูญใหม่  คือเป้าหมายสูงสุดเพื่อจะทำการสกัด ?!


        คนที่ออกใบสั่งเพื่อจะหาทาง “สกัด” มิให้สมเด็จฟ้าชายได้เป็นพระมหากษัตริย์ เป็น “คณะบุคคล-กลุ่มเดียวกัน”  ที่ทำมาตั้งแต่การ “กระชากเอาทักษิณ” มาเป็นเหยื่อแล้วก่อกระแสให้เกิดการรัฐประหาร ต่อมาก็ได้ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ไปจนถึงการ “ตั้งรัฐบาลทหาร” (คมช.) ขึ้นมาบริหารประเทศ การบริหารประเทศในสถานการณ์ทั้งหมดคราวนั้น  มิได้มีเจตนาเพื่อประชาชนแต่อย่างใด และมิได้เกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองใดๆทั้งสิน   หากแต่มันเป็นปัญหา “ปลายรัชกาล” ที่มีคำว่ารัชกาลที่ ๑๐ เป็นโจทย์รออยู่ข้างหน้า บุคคลคณะนั้น เป็นคณะเดียวกันกับที่ได้ออกใบสั่งให้ สสร.และคณะกรรมการยกร่าง  และเป็นคณะเดียวกันที่เล่นเอาเถิดมาจนถึงวันนี้


         มีคำถามว่าบุคคลคณะนั้นเหตุไรจึงพยายามขัดขวาง “สมเด็จพระบรมฯ”  อย่างเอาเป็นเอาตาย  ก็จะมีคำตอบโดยไม่ยากว่า  “เป็นการแย่งอำนาจในปลายรัชกาล” ซึ่งเกิดมาจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และต้องการ “มีอิทธิเพลเหนือพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไป” (รัชกาลที่ ๑๐)  ซึ่งคนกลุ่มนี้ครองความมีอิทธิมาโดยตลอด เมื่อหวั่นไหวว่ากลุ่มของตนจะขาดอิทธิพล จึงสร้างสมมุติฐานนานาประการด้วยการก่อกระแสอย่างนั้น -  อย่างโน้น แล้วก็ลากเอาไปวาง “บนรางรถไฟ”  ให้มันวิ่งไปตามรางของมันโดยหวังว่าเมื่อได้วางบนรางรถไฟแล้ว รถด่วนขบวนนั้นก็จะวิ่งไปตามราง ไม่ต้องพะวงจะมีประชาชนเข้าใจผิด
พวกเขาทำงานเป็นกระบวนโดยเอาชาติเป็นเดิมพัน


         แต่ทว่า..เมื่อได้ทำไปแล้ว  แทนที่เรื่องมันจะจบอย่างเงียบเชียบ เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาพากันเดือดร้อนอย่างหนัก ถึงขนาดดิ้นสุดตัว  ต้องสังหารและเข่นฆ่าประชาชนขนาดนั้น [๑๐ เมษา-๑๙ พฤษภา ๒๕๕๓]


         วันนี้บ้านเมืองผันผวนอย่างหนัก  อำนาจที่พวกเขากุมอยู่ในอุ้งมือก็จะหลุด พวกเขาจึงแตกแขนง แบ่งหน้าที่กันทำเพื่อหาทางป้องกัน  เช่นฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ก็เล่นบททางการเมือง  ทหารเล่นบทความมั่นคง  พันธมิตรเล่นบทถวายคืนพระราชอำนาจ แต่ละกลุ่มแต่ละพวก ยังคงกระหน่ำทักษิณ กับฟาดฟันคนเสื้อแดงเฉกเช่นที่ได้ทำมาแล้ว


         สุดท้ายก็พุ่งเป้าไปที่พรรคเพื่อไทย จะหาทาง “ยุบพรรค” อีกแล้ว
         ปัญหาที่กำลังเกิดถึงขั้นคนไทยแตกแยกกันอย่างหนักในขณะนี้ grnjv เป็นปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นมาภายหลังโดยพวกเขาก็ไม่คาดคิดมาก่อน  ทำให้พวกเขาไม่อาจหยุดการกระทำได้  จำเป็นจะต้องควบคุมอำนาจให้อยู่ในมือ ไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นฝ่ายล้มเหลวจนถึงขั้นพังทลายในที่สุด





         ผมอยากให้เรื่องที่ผมกำลังนำเสนออยู่นี้อธิบายต่อสถาบันต่างๆได้ทั้งในหลักวิชาและหลักตรรกศาสตร์อย่างถูกต้อง ผมจึงขอนำท่านกลับไปที่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ เพื่อจะขยายภาพให้มองปัญหาชัดมากขึ้น 



กล่าวคือเมื่อ คมช.ยึดอำนาจได้แล้วก็ได้หาทาง “จัดตั้ง”สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือมีชื่อย่อว่า“ส.ส.ร.”จำนวน ๑๐๐ คน  มีนายนรนิติ เศรษฐบุตร เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจะให้เป็นผู้ “ยกร่าง” รัฐธรรมนูญ แต่เอาเข้าจริง สสร. จำนวน ๑๐๐ คนไม่มีใครได้ร่างรัฐธรรมนูญเลยแม้แต่มาตราเดียว  คนที่ยกร่างที่แท้จริงกลับเป็น “คณะทำงาน” อีกคณะหนึ่งเป็นผู้ยกร่าง มีอยู่ ๓๕ คน  แต่ใน ๓๕ คนนั้น มีคนทำงานจริงอยู่เพียง ๓ คน ไม่ใช่ทำงานทั้ง ๓๕ คน  ๓ คนที่ว่านั้นได้แก่

        ๑ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ   อดีตหัวหน้าซีไอเอไทย เป็นหัวหน้า
        ๒. รศ. ดร. เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง   นักวิชาการ
        ๓. นายจรัญ ภักดีธนากุล  ข้าราชการตุลาการ


        พวกเขาทั้ง  ๓  คนพากันเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ชั้นเทพ  หรือชั้นอ๋องดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญ (ปี ๒๕๕๐) ด้วยความขยันหมั่นเพียร ได้รัฐธรรมนูญ ๑๕ หมวด ๓๐๙ มาตรา  แล้วให้คณะกรรมการยกร่าง ๓๒ คน รับรองร่วมกัน  โดยมีเนื้อหาสาระแตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ มากมาย โดยเฉพาะได้แก่มาตรา “ว่าด้วยราชบัลลังก์หากว่างลง”


        ความหมายของรัฐธรรมนูญมาตรานี้  ได้หนุนส่งให้ “ประธานองค์มนตรี”  ยกขึ้นสู่ระดับ “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”  ซึ่งไม่ได้ระบุดอกว่าเป็นพลเอกเปรม ติณสูลานนท์  แต่ในห้วงเวลานี้จะเป็นใครเสียเล่า  นอกจากพลเอกเปรม


        ผมได้นำรายละเอียดของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ปรึกษากับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ขอสงวนนาม  ท่านบอกว่า  “บุคคลคณะนี้มีหลายกลุ่ม”  แต่ละกลุ่มล้วนแต่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น เช่นกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์  มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ  นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นายชวน  หลีกภัย และพวก “สันติอโศก-พันธมิตร” เป็นต้น ผู้ใหญ่ท่านนั้นพูดว่า  พวกเขารู้ดีวาความมุ่งหมายในการยกร่างด้วยการเอาถ้อย คำว่า “ราชบัลลังก์หากว่างลง” มาใช้หมายถึงอะไร  แล้วเหตุไรพวกเขาจึงไม่ทักท้วงเลย รวมทั้งพลเอก สุรยุทธ์  จุลานนท์  พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็ไม่ทักท้วง  แสดงว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกันดังที่กล่าวมา


        ท่านครับ  การทำงานของกลุ่มเครือข่ายล้มล้างองค์รัชทายาทประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ด้วยการมีรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือเอาไว้ทำงาน แต่ทว่าเรื่องมันจะไม่ง่ายเสียแล้ว เพราะว่าหลังจากมหาชนได้รับรู้ความจริง จากการ “เปิดโปง” ของมหากาพย์การเมือง ก็จะทำให้ยุทธการของพวกเขา “ล้มครืน” ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง


         ในขณะเดียวกันนี้ แผนชั่วของเขาที่รวมหัวกัน “กระชาก” เอาท่านทักษิณมาเป็นเหยื่อ   ได้กลายเป็นแผลบาดทะยัก  ทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ของคนไทย อย่างไม่เคยมีมาก่อน   ความผิดพลาดในครั้งนี้  ได้ก่อความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวงโดยไม่อาจประมาณมูลค่าได้


         เจ้าของใบสั่งไม่ยีหระต่อความทุกข์ของประชาชน  เพราะพะวงอยู่กับขั้วอำนาจ


         ผู้รับใบสั่ง  คือ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จึงเป็นตัวยึดโยงเข้ากับกลุ่มอำมาตย์กับพวกเครือข่าย ตามกระบวนการที่ได้ทำเอาไว้ แต่มันไม่ง่ายเสียแล้ว  เพราะจะมีคนอยากรู้มากขึ้นว่ามหากาพย์เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี ?!
      
                                       “สอาด จันทร์ดี”
http://redusala.blogspot.com

1 ความคิดเห็น:

  1. เห็นด้วย ทำไมนะกองทัพไม่รู้ไม่เห็น
    แต่ผมว่าเป็นใจด้วยมากกว่า

    ตอบลบ