วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

มหากาพย์การเมือง ชุด “เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง”
 ตอน  ๓ :   ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แสบ ! ต้านพุทธ !


         ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทองในฐานะ “ผู้รับใบสั่ง”  ให้สร้างรัฐธรรมนูญเอาขึ้นมาเป็นกำแพงขวางกั้น “สมเด็จเจ้าฟ้าชาย”  ไม่ให้มีโอกาสขึ้นครองราชย์เป็นรัฐกาลที่ ๑๐  ที่มหากาพย์การเมือง ชุด “เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง” กำลังนำเสนออยู่นี้ นับว่าเป็นบท
ความทางการเมืองที่สะท้อนถึงปัญหา “ปลายรัชกาล ร.๙” ที่ฝ่ายอำมาตย์ที่เกรงกลัวว่าพวกตนจะสูญเสียอำนาจ  จึงพากันสร้าง “ค่ายกลขึ้น”  เพื่อจะขัดขวาง “ฟ้าชาย” ให้ถึงที่สุด  อันเป็นการ “รวมพละกำลัง” ล้มล้างองค์รัชทายาทด้วยการอาศัยรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ
        คนที่ยกร่างได้แก่ ๓ เกลอตัวแสบคนเก่านั้นแล


        ที่แสบที่สุดคือ รศ. ดร. เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง  กล่าวคือนอกจากได้รับใบสั่งเขียนรัฐธรรมนูญกบฏสำเร็จลุล่วงไปแล้ว ๑ เรื่อง ยังได้ทำตัวทรงอิทธิพล “แสบที่สุด” ไม่ยอมให้บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติอีก ๑ เรื่อง


        วันนี้ขอเขียนถึง “ดร. เจิมศักดิ  ปิ่นทอง”  เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนา  เพราะมันเป็นเรื่องแสบหัวใจชาวพุทธอย่างยิ่งที่ประเทศไทยไม่ยินยอมให้ศาสนาของคนไทยที่มีมาแต่ดั้งเดิมได้รับการ “รับรอง” เอาไว้ในรัฐธรรมนูญ


         การที่จะเขียนถึงเรื่องพระพุทธศาสนา  จะต้องพรรณนาถึง “ชนชาติไทย” กับพระพุทธศาสนาก่อนว่าชาติไทยนั้น มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ  แต่ประเทศไทยมีศาสนาอื่นอีก ๕ ศาสนา ไทยจึงมี ๖  ศาสนา คือพุทธ  คริสต์ อิสลาม ซิก ฮินดูและพราหมณ์  โดยศาสนาพุทธมีผู้นับถือ  ๙๔.๒ เปอร์เซ็นต์ อิสลาม ๔.๘ เปอร์เซ็นต์ และคริสต์ ๐.๘ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นเปอร์เซ็นต์ของศาสนาอื่น ชาวพุทธเนื้อๆมีจำนวนประมาณ ๖๑.๐๐๐.๐๐๐ คน ในขณะอิสลามมีประมาณ ๔,๐๐๐.๐๐๐ คน  ส่วนคริสต์มีไม่ถึงล้าน


         ด้วยจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่สูงอย่างยิ่งเช่นนี้  ชาวพุทธจึงเรียกร้องขอให้ตั้งกระทรวงพุทธ  แต่ไม่อาจจะให้ตั้งกระทรวงได้ จึงมีได้เพียง “สำนักพุทธ”  ตั้งอยู่ที่พุทธมณฑลเมื่อมีสำนักพุทธแล้ว  ชาวพุทธก็อยากให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ  แต่ไม่อาจได้รับความยินยอมจาก ๓ เกลอ  แม้ว่าพระสงฆ์กับชาวพุทธจะชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเป็นเวลานานถึง ๒ เดือนก็ไม่ยอมรับฟัง


         คนที่มีบทบาทในการ “ยกร่าง” ก็คือ  น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ  ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทองและนายจรัญ   ภักดีธนากุล   ในขณะยกร่างอยู่นั้น  ฝ่ายชาวพุทธที่ชุมนุมเรียกร้องอยู่หน้ารัฐสภาก็ได้พยายามประสานงานติดต่อกับ “คณะผู้ยกร่าง” ตลอดเวลา  โดยมีแนวโน้มว่าจะยอมให้  ทำให้ผู้ชุมนุม  มีอารมณ์สดใส  เชื่อว่าคงจะได้รับข่าวดีเป็นแน่


        ผู้ที่ชุมนุมอยู่ที่หน้ารัฐสภา ประกอบด้วยพระสงฆ์ประมาณ ๑๘,๐๐๐ รูป ญาติโยมอีก ๕,๐๐๐ คน  รายนามของฝ่ายพระนั้นจะไม่นำเอามาเสนอ  แต่รายชื่อของฝ่ายชาวพุทธนั้น ประกอบด้วย “พลเอก ธงชัย  เกื้อสกุล” ดร. เมธาพันธุ์ โพธิธีระโรจน์ อาจารย์ ผศ. เสถียร  วิพรมหา และ สมาน  ศรีงาม เป็นต้น


       นักวิชาการฝ่ายพุทธได้ทำหนังสือชี้แจง ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทองว่า   การบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ  จะทำให้ประเทศไทยได้รับเกียรติยศอันยิ่งใหญ่จากองค์การสหประชาชาติ  จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแห่งโลก  จะทำให้ “ศาสนาพุทธ” ได้รับการคุ้มครองด้วยความเข้มข้น สมกับประเทศไทยเป็นประเทศพุทธ


        เอาเข้าจริง  ถึงคราวจะบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ  ดร. เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง ได้คัดต้านสุดเหยียด  โดยอ้างว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในชาติ  ไม่เห็นควรให้บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียว


        จากความแสบตรงนี้ได้ทำให้ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กับพวก มิใช่แต่จะเป็นจอมทัพสร้างรัฐธรรมนูญมา “ล้มล้าง”  องค์รัชทายาทเท่านั้นก็หาไม่   ยังได้ “เป็นผู้ลงดาบ”ประหารพระพุทธศาสนาด้วยมือของเขาเอง


        ดร. เจิมศักดิ์แสบจริงหรือไม่จริง ให้ไปกราบถามพระเถระดูขอรับ ?!



                                           สอาด จันทร์ดี 
http://redusala.blogspot.com

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ14 สิงหาคม 2554 เวลา 08:06

    อยากรู้นะว่าพวกนี้ ทำคุณประโยชน์อะไรให้ประชาชนผู้ยากจนนะอยากรู้

    ตอบลบ